“บัณฑูร” จี้รัฐเลิกประชานิยม "จำนำ" สินค้าเกษตร ชี้ฉุดขีดแข่งขันไทยเดี้ยง
ปธ.คกก.ประเด็นทางการค้า สภาหอการค้าฯ มองโครงการจำนำสินค้าเกษตร ทำขีดแข่งไทยอ่อนแอ อุปสรรคเปิดอาเซียน ชี้สบช่องข้าวพม่า กัมพูชา สวมสิทธิ์
นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ ประธานคณะกรรมการประเด็นทางการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศรา ถึงศักยภาพในการแข่งขันของไทยเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนว่า ประเด็นหลักใหญ่คือเรื่องการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างเสรี ที่จะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่มีมาตรการทางภาษีมาขวางกัน ซึ่งจำเป็นที่ภาคธุรกิจไทยจะต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนในการแข่งขัน ทั้งปัจจัยหลักด้านต้นทุนวัตถุดิบและแรงงาน
“อย่างไรก็ตาม ในประเด็นเรื่องวัตถุดิบ ผู้ประกอบไทยจำเป็นต้องมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกซื้อ เข้าถึงวัตถุดิบเท่าๆ กับคู่แข่งอื่นในอาเซียน แต่ปัญหาของไทยคือ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง ฯ ได้ทำลายความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากการที่รัฐบาลไปตั้งราคาจำนำสินค้าเกษตรไว้สูงขนาดนั้น ทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น โรงสีข้าวไม่มีข้าวเปลือกมากพอที่จะป้อนเข้าสู่ระบบ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง กำลังการผลิตไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญคือแข่งขันไม่ได้”
นายบัณฑูร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การที่รัฐบาลไปซื้อข้าวเปลือกในราคาแพง เป็นการแย่งธุรกิจของเอกชน ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ เพราะหาซื้อขายไม่ได้มากเท่าที่ควร ดังนั้น จึงเห็นว่า รัฐบาลจะต้องคิดใหม่ และมียุทธศาสตร์จะทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมไทยสามารถแข่งขันได้
“ถ้ารัฐบาลพิจารณาใหม่ ยกเลิกโครงการรับจำนำหมดและเปลี่ยนไปเป็นโครงการชดเชยรายได้เกษตรกร ผมคิดว่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะโครงการชดเชยนั้นไม่ได้ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรยังสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการชดเชยจากภาครัฐ ได้ประโยชน์เท่าๆ กับโครงการจำนำ"
ประธานคณะกรรมการประเด็นทางการค้าฯ กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยต้องการให้ราคาข้าวเปลือกอยู่ที่ 15,000 บาทต่อตัน ก็ชดเชยส่วนต่างให้เท่ากับราคาดังกล่าวเท่านั้น นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การจัดเก็บสินค้าเกษตรกรไว้ในสต็อกนานๆ ย่อมส่งผลให้คุณภาพลดลง และอาจเสียหายหมดได้
เมื่อถามว่าการจำนำสินค้าเกษตร จะมีผลรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่เมื่อเปิดสู่อาเซียน นายบัณฑูร กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่เปิดก็พบปัญหาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการลับลอบนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้าวพม่า กัมพูชา เฮโลเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ยกตัวอย่างในปี 2552 พบว่า ปริมาณข้าวลับลอบเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 6.08 ล้านตัน หากคิดกำไรประมาณ 400 บาทต่อตัน ก็มีมูลค่าสูงถึง 24,230 ล้านบาทต่อปี และเมื่อมีการลักลอบนำเข้ามาแล้วก็ยากที่จะตรวจสอบว่า เป็นข้าวจากประเทศใด
ทั้งนี้ นายบัณฑูร กล่าวช่วงท้ายด้วยว่า สำหรับประเทศไทยนั้น ยังมีปัญหาเรื่องการกีดกันการนำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งตามมาตรการในปัจจุบัน ต้องมีการขึ้นทะเบียน ขอใบอนุญาต หรือจำกัดระยะเวลาในการนำเข้า เช่น มะพร้าวนำเข้าได้เพียง 2 เดือนต่อปี ซึ่งตรงนี้อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันอ่อนแอ สู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้
ข้อมูลประกอบ
