กรมสอบสวนคดีพิเศษพบประเด็นผิดปกติ กรณีการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลในช่วงปี 2553
ตามที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ สำนักคดีความมั่นคง สืบสวนข้อเท็จจริง กรณีการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2553 มีปริมาณการระบายข้าวสารออกจากสต็อกของรัฐบาลจำนวนประมาณ 3.4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 44,268 ล้านบาท (เฉพาะรายที่ได้เข้าทำสัญญากับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อ.ค.ส.))
โครงการดังกล่าวมี กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบ และมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร มีหน้าที่ดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์และเจรจาต่อรองกับผู้เสนอราคา แต่ในการดำเนินงานในโครงการดังกล่าวปรากฏว่าไม่มีการออกประกาศกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ ทั้งไม่มีการออกประกาศกำหนดชนิดข้าวสาร ปริมาณ ตลอดจนสถานที่เก็บรักษาข้าวสารให้ผู้ประกอบการส่งออกข้าวได้รับทราบแต่อย่างใด จึงทำให้มีผู้ประกอบการส่งออกข้าวเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมโครงการ นอกจากนั้นยังพบว่ามีการเจรจาต่อรองซื้อขายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลกับผู้ประกอบการเอกชนจำนวน 11 ครั้ง ที่มีปริมาณการซื้อขายในแต่ละครั้งสูงเกินกว่า 100,000 ตัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ ที่กำหนดกรอบยุทธศาสตร์ไว้ให้จำหน่ายให้แก่เอกชนเพื่อการส่งออกครั้งหนึ่งจำนวนไม่เกิน 100,000 ตัน แต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังคงพิจารณาอนุมัติให้ทำการจำหน่ายได้
จากการตรวจสอบข้อมูลการส่งออกข้าวจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2554 พบว่าผู้ประกอบการได้ที่ได้เข้าทำสัญญาและรับมอบข้าวสารตามสัญญาแล้วไม่ได้ส่งข้าวออกไปจำหน่ายนอกราชอาณาจักรตามสัญญา โดยพบว่ามีปริมาณข้าวสารที่ไม่ได้ส่งออกสูงถึงประมาณ 922,195 ตัน หรือคิดเป็นจำนวนร้อยละ 26.66 ของปริมาณข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลที่มีการระบายไปในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งหมด โดยพบว่ามีผู้ประกอบการ 4 รายไม่ได้ส่งข้าวสารตามสัญญาไปจำหน่ายนอกราชอาณาจักรเลย และอีก 4 รายมีการส่งออกข้าวสารไปน้อยกว่าปริมาณตามสัญญา นอกจากนั้นยังพบข้อเท็จจริงว่าในช่วงเวลาเดียวกันมีการอนุมัติให้ทำการจำหน่ายข้าวสารเก่าค้างสต็อกของรัฐบาลเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์จำนวนประมาณ 8,882 ตัน มูลค่า 47 ล้านบาทให้แก่ผู้ประกอบการเอกชน 1 ราย โดยคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารไม่มีการออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมยื่นซองเสนอราคาแต่อย่างใด จึงไม่มีผู้ประกอบการรายอื่นได้ยื่นซองเสนอราคา ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลของผู้ประกอบการรายดังกล่าวพบว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมือง
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จึงเชื่อได้ว่าการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลจำนวน 3.4 ล้านตันในช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะมีความผิดปกติ และอาจส่อไปในทางทุจริต ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับนักการเมือง และข้าราชการประจำหลายราย แต่เนื่องจากขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ส่งข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมดให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามกฎหมายต่อไป
อนึ่งการสืบสวนกรณีการกระทำผิดกฎหมายตามนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ผลการตรวจสอบเบื้องต้น กรมการค้าภายในได้พบพฤติการณ์การทุจริตการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ในเขตพื้นที่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดนครนายก และจังหวัดใกล้เคียง ในกรณีนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เสนอเรื่องกรณีการทุจริตการรับจำนำข้าวเปลือกในเขตพื้นที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้คณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษแล้ว ผลการสอบสวนสามารถระบุตัวผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้ส่วนหนึ่งแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม สำหรับกรณีการทุจริตการรับจำนำข้าวเปลือกในเขตพื้นที่จังหวัดนครนายก และจังหวัดใกล้เคียงอยู่ระหว่างการเสนอ คณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษต่อไป
