"โอกาสทอง"ที่คนไทยมีเวลาทบทวน ก่อนเผชิญหน้าใน"AEC"
จากการตัดสินใจของประธานรัฐสภาเมื่อ 8 มิถุนายน 55 ให้เลื่อนการลงมติวาระที่ 3 ไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำมา จนกว่าจะถึงการประชุมครั้งต่อไปในเดือนสิงหาคม 55 ทำให้บรรยากาศทางการเมืองซึ่งกำลังเดินหน้าทั้งในสภาและนอกสภาเพื่อเผชิญหน้ากัน เริ่มผ่อนคลายลงทันที จึงทำให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่ต้องการให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ โดยเฉพาะในระยะที่จะเข้าฤดูฝน ต้องเตรียมการป้องกันน้ำท่วม และเตรียมตัวที่จะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ รวมทั้งทางด้านเศรษฐกิจที่มีผลกระทบจากวิกฤติของเงินยูโร และราคาสินค้า เครื่องอุปโภคสูงขึ้น มีความกังวลอย่างยิ่ง
เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งมีความร้อนแรง สลับกับความผ่อนคลาย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มถอยกันบ้าง บางคนเชื่อว่าเป็นเพราะ “พระสยามเทวาธิราช” คุ้มครอง แต่บางคนก็ว่า “พระสยามเทวาธิราช” ที่ว่านั้นไม่มีหรอก ซึ่งก็มีส่วนถูกทั้งสองฝ่าย ผมจึงขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ว่า “พระสยามเทวาธิราช” มีนั้น ก็เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้สร้าง “องค์พระสยามเทวาธิราช” ขึ้น คงประดิษฐานไว้ที่ปราสาทพระเทพบิดา ในพระบรมมหาราชวัง ที่สร้างขึ้นก็เพื่อให้มีองค์จริงตามจินตนาการ ตามที่คนทั่วไปมักกล่าวอ้างว่า ในการที่ประเทศไทยผ่านวิกฤติกาลใหญ่ๆ ในทางการเมืองของโลก เช่น ในสมัยล่าอาณานิคม ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ไทยก็รอดพ้นอันตรายถึงขั้นสูญเสียเอกราชมาแล้ว แต่ไทยเราก็สามารถดำรงความเป็นเอกราชมาได้ ก็เพราะการกระทำขององค์พระประมุข ด้วยการสนับสนุนของพสกนิกร เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทุกคนเชื่อมั่นในพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเดิมไม่มีตัวตนให้ความคุ้มครองอยู่
จะเชื่อกันหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ลองมาเทียบกับมนุษย์เรา ซึ่งประกอบด้วย กาย กับ จิต ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Body and Mind” คำว่า Mind นี้ ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของกาย แต่ต้องหนึ่งกับกาย มีบทบาทอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของกาย ภาษาไทยเราบางทีก็เรียกว่า “วิญญาณ” ซึ่งก็ไม่ตรงนัก เพราะ “วิญญาณ” หมายถึง ธาตุรู้ ตามชนบทของไทยเรา หมอแผนโบราณหรือหมอประจำหมู่บ้าน ได้ใช้การรักษาคนไข้สำหรับเด็กๆ ที่ยังเยาว์วัย เมื่อมีอาการเจ็บไข้ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด พ่อแม่ก็มักจะพาไปหาหมอประจำหมู่บ้าน ก็จะใช้ธูปเทียนดอกไม้และไข่ต้ม แล้วเรียก “ขวัญ” เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่ติดกับร่างกายของเด็กนั่นเอง คำว่า “ขวัญ” ในที่นี่ น่าจะหมายถึง จิต หรือ Mind ที่คู่กับกายนั่นเอง
ดังนั้นประเทศชาติของเราก็มีตัวตนจับต้องได้ แต่ก็คงจะต้องมีอีกสิ่งหนึ่งที่จับต้องไม่ได้ จะเรียกว่า “ขวัญของชาติ” ก็ได้ ที่ทำให้ประเทศชาติดำรงอยู่ได้โดยสมบูรณ์ ถ้า “ขวัญของชาติ” แตกแยกกัน ก็จะทำให้ประเทศชาติอยู่ในสภาพที่อ่อนแอไปด้วย “ขวัญของชาติ” ในที่นี้ก็คือ ความเชื่อมั่นยึดมั่นในองค์พระประมุของค์เดียวกัน ถ้าเห็นองค์พระประมุข เป็นบุคคล ก็อาจแปรสภาพเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือ “พระสยามเทวาธิราช” เป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนในชาติ ถ้าทุกคนหันมายึดเหนี่ยวในสิ่งเดียวกัน ก็จะทำให้ “ขวัญของชาติ” เข้มแข็ง มั่นคง มีพลังที่จะต่อสู้กับศัตรูใดๆ ได้ เช่น ร่างกายมนุษย์ที่มีทั้ง Body และ Mind ที่แข็งแรง ย่อมสามารถต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้เช่นกัน
จากประสบการณ์ของผม ก็นับว่ายาวนานพอ ได้ผ่านการขัดแย้งถึงขั้นสงครามมาหลายครั้ง และได้เข้าไปเกี่ยวข้อง กับได้ติดตามศึกษาความเป็นไปในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ได้แก่ เนปาล, ลาว และเขมร ผมจึงอยากจะเล่าประวัติศาสตร์บางตอนของประเทศเหล่านี้ เพื่อให้ “สติ” แก่คนไทยทั่วไป ที่อาจไม่มีโอกาสได้ศึกษาความจริงบทเรียนของเราเองก็มีมาก ผมเองก็ได้เล่าให้ฟังไว้ในหนังสือ “พคท.หายไปไหน ?” ดูเหมือนจะมีน้อยคนที่ศึกษาเรื่องของเราอย่างจริงจัง อันเป็นธรรมดาที่เราจะมองตัวเราเองไม่ค่อยเห็น ทั้งๆ ที่คนทั่วโลกเขาศึกษาเรื่องของเรา และก็ชื่นชมในความสำเร็จของเราในการแก้ปัญหา ที่มีการขัดแย้งทางการเมือง ถึงขั้นต่อสู้กันด้วยอาวุธ มีคนล้มตายไม่น้อยกว่า 10,000 คน ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี 2508-2528 เป็นเวลา 20 ปี ได้เป็นผลสำเร็จด้วยตัวเราเอง เพราะเราใช้ “วิธีแก้ปัญหาที่ถูกจุด” นั่นเอง แม้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม เพราะ “วิธีการที่ถูก” เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้ หรือที่เรียกว่า เอาชนะได้
เราลองไปดูสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเนปาล คนส่วนมากคงไม่ทราบว่า ประเทศเนปาลเป็นอีกประเทศหนึ่ง ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช สามารถดำรงความเป็นเอกราชมาได้ตลอดสมัยล่าอาณานิคม เช่นเดียวกับประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อเปลี่ยนระบบเป็นประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ทำให้เนปาลมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง เพราะมีพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ เรียกแบบทั่วไปว่า “พรรคเมา” (Maoist Party) เป็นพรรคที่ดำเนินการตามแนวคิดของเมาเซตุง ด้วยการใช้กำลังชนบทล้อมเมืองหลวง ต่อสู้กับพรรคการเมืองที่มีอำนาจ คือ “พรรคคองเกรส” ปกครองประเทศมาช้านาน พรรคคองเกรสไม่สามารถแก้ปัญหา พระองค์ทรงตกลงแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังทหารของชาติเข้าแก้ปัญหา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น จนสังคมนานาชาติต้องเข้ามาเกี่ยวข้องให้ทั้งสองฝ่าย “หยุดยิง” แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้น ผมเองในฐานะประชาชนองค์กรตรวจสอบการเลือกตั้งซึ่งได้ไปร่วมสังเกตการณ์ตรวจสอบการเลือกตั้งครั้งนั้นด้วย ผลการเลือกตั้งไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด แต่ “พรรคเมา” ได้ที่นั่งมากกว่า จึงจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องมีการโหวตในสภาก่อน เพื่อตัดสินว่าประเทศจะปกครองต่อไปด้วย “ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือมีประธานาธิบดี” ในที่สุดพรรคคองเกรส ซึ่งเป็นพรรคที่เทิดทูลพระมหากษัตริย์ และได้ไปกราบทูลพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ก็ได้หักหลังพระมหากษัตริย์ โดยโหวตร่วมกับพรรคที่เห็นชอบในการเปลี่ยนการปกครอง จากระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุข มาเป็นระบอบ ปชต. มีประธานาธิบดีเป็นประมุข การเมืองหลังจากนั้น พรรคการเมืองต่างๆ ด้วยการนำของพรรคเมา ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลที่มั่นคงได้ จนกระทั่งทุกวันนี้
ส่วนประเทศกัมพูชา เดิมเป็นระบอบ ปชต. ที่มีพระมหากษัตริย์ เจ้าสีหนุ เป็นประมุข แต่ต่อมาเกิดรัฐประหาร โดยนายพล ลอนนอล มือขวาของเจ้าสีหนุ ทำรัฐประหาร ในขณะที่เจ้าสีหนุไปราชการต่างประเทศ เจ้าสีหนุ แทนที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับนายพลลอนนอล แต่พระองค์ท่านตัดสินใจไปอยู่ข้างคอมมิวนิสต์เขมรแดง ของนายพลพอลพอต เกิดสงครามกลางเมือง ต่อสู้กันจนฝ่ายเวียดนาม ได้นำกำลังภายใต้การนำของเฮงสัมรินและฮุนเซนมาขับไล่เขมรแดงพอลพอต ออกจากเมืองหลวง จนนานาชาติต้องมาเกี่ยวข้องให้หยุดยิง และมีการเลือกตั้งขึ้น ซึ่งผมได้ไปร่วมด้วย ฝ่ายฮุนเซนชนะการเลือกตั้ง มีการตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรคของฮุนเซน กับพรรคของราชบุตรของสีหนุ
ในที่สุดเจ้าสีหนุ ได้ดำเนินนโยบายปกครองให้เขมรกลับมาปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยพระองค์สละราชสมบัติให้ราชบุตรสีหมุนี เป็นกษัตริย์แทน ทำให้รัฐบาลของเขมร มีเสถียรภาพพอสมควรในเวลาต่อมา แต่กว่าจะแก้ปัญหาโดยนำระบอบกษัตริย์เป็นประมุข เขมรก็ได้ลองผิดลองถูกมาเป็นเวลายาวนาน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเวลา 20-30 ปี สูญเสียชีวิตผู้คนและทรัพย์สมบัติของแผ่นดินเป็นอันมาก นี่ก็เป็นบทเรียนอันมีค่า ที่คนไทยบางคนเรียกร้องอยากจะให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น มีอะไรขวางกัน มีบุคคลใดที่พอจะเชื่อมั่นได้ ถ้าระบบเก่าอันเป็นมรดกล้ำค่า ที่เราพากันภาคภูมิใจได้ล่มสลายลง เราจะมีอะไรเป็นหลักประกันหรือไม่
ส่วน “สปป.ลาว” ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ก็ได้สร้างอนุสาวรีย์กษัตริย์องค์สุดท้าย ไว้ที่พระราชวัง ในเมืองหลวงพระบาง เป็นองค์ที่ใหญ่โตขนาด 2-3 กว่าขององค์จริง ไว้เป็นที่ระลึก ผมก็ไม่ทราบว่า ลึกๆ ในจิตใจของคนลาวจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อการที่เขาได้สูญเสียองค์พระประมุขที่ได้สร้างราชอาณาจักรลาวมาเป็นเวลาช้านาน มีประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจในความเสียสละของบรรพบุรุษ ที่ได้ก่อสร้างประเทศมา แม้ว่าจะมีหลักฐานทางข้อเขียนทางประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่มีองค์บุคคลที่เป็นเครื่องยืนยันได้ เช่น ประเทศไทย, ประเทศญี่ปุ่น, อังกฤษ และหลายประเทศในยุโรป แม้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่ทรงมีอำนาจในทางการเมืองใดๆ แต่ก็เป็นสถาบันที่เป็นจุดรวมของคนในชาตินั้นๆ เช่น การฉลองการครองราชย์ของพระบรมราชินิอังกฤษครบ 60 ปี เมื่อเร็วๆ นี้ และของพระบาทสมเด็จของพระเจ้าอยู่หัวของเราเมื่อหลายปี ก่อนหน้านี้ ได้นำความสุข ความปลื้มปิติ ของคนในชาติ แม้จะเพียงชั่วขณะหนึ่งก็ตาม แต่ก็มีผลต่อขวัญกำลังใจ และเศรษฐกิจของประเทศเป็นจำนวนมหาศาล นับค่ามิได้
ผมคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุด ที่คนไทยจะได้มีโอกาสได้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เป็นมาแล้ว โดยอาศัยบทเรียนที่มีค่าของเราเอง และของประเทศเพื่อนบ้าน มีให้ศึกษาหลายรูปแบบ บางแบบอาจจะตรงกับที่ท่านคิดอยู่ขณะนี้ ที่ท่านอยากจะเปลี่ยนแปลง และขอให้คิดให้ตลอด ว่าถ้าเปลี่ยนแปลงแล้ว จะเป็นอย่างไร มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทุกรูปแบบ ถึงจะเป็นแบบไหนก็ตาม ผมก็ยังมองไม่เห็น เหตุการณ์และประเทศที่ผมหยิบยกมานี้ ทำให้เห็นว่า แนวคิดของผู้นำสูงสุดที่ท่านเทิดทูล กับความคิดของผู้นำในกลุ่มของท่าน ก็ดูจะไม่ตรงกัน ความคิดของผู้นำสูงสุดของท่าน คิดเพียงเพื่อให้เขา “พ้นผิด” และสามารถกลับประเทศไทยได้อย่างสง่างามเท่านั้น ส่วนความคิดของผู้นำที่สนับสนุนเขาคงคิดไกลไปกว่านั้น ผมยังไม่ทราบว่า “เป้าหมาย” ของเขาจะไปทางไหนแน่ ! แล้วคนที่เฮฮาตามเขาไปนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่า เขาจะพาท่านไปไหน ! ขอให้คิดทบทวนดูให้ดี !
ถ้าท่านไม่มีพระสยามเทวธิราชคุ้มครองท่านแล้ว ใครจะคุ้มครองท่าน ประเทศที่ไม่มี “ขวัญ” เหมือนร่างกายไม่มี จิต-Mind จะเป็นร่างกาย หรือประเทศที่สมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างไร จะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร ? โอกาสเป็นของประเทศไทยแล้ว ในกลุ่มอาเซียน ถ้าเราไม่สามารถแก้ปัญหาภายในของเราได้แล้ว เราจะเป็นผู้นำได้อย่างไร ?