นักวิชาการมอง AEC เหมือนแสงเทียน ‘วูบวาบ’ แต่ไม่เจิดจรัส
นักวิชาการ ชี้สปิริตของการรวมกัน ไม่มีใครได้ หรือเสียข้างเดียว แนะเร่งพัฒนา โลจิสติกส์ การขนส่งทางราง หลังเพื่อนบ้านเดินหน้าไปไกล
วันที่ 28 กรกฎาคม โครงการศิลปะศาสตร์บัณฑิต สาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "AEC เจิดจ้า หรือ พร่ามัว" ข้อถกเถียงเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ใครได้ใครเสีย มหาอำนาจหรือชาติสมาชิก ณ ห้องประชุมวิโรจน์อิ่มพิทักษ์ โดยมี ผศ.ดร.ธี ระ นุชเปี่ยม สถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ดร.พิทยา สุวคันธ์ วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.เกษตรฯ อ.ดุลยภาค ปรีชารัชช โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มธ. นายทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการอิสระและคณะกรรมการศูนย์แม่น้ำโขงศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 4 รอบพระชันษาจุฬาภรณ์ ม.เกษตรฯ
ผศ.ดร.ธีระ กล่าวว่า เหตุที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นที่น่าจับตามองมากในบรรดา 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียน เนื่องจากประชาคมเศรษฐกิจจะมีผลกระทบที่ชัดเจน แนวทางการดำเนินการจะชัดเจนกว่าเสาหลักอื่นๆ ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดหมายจะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของอาเซียน ที่มีตลาดร่วมและฐานการผลิตร่วม เป็นภูมิภาคที่มีความแข่งขันทางเศรษฐกิจ เป้าหมายหลักสำคัญ คือ การทำให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถทางการแข่งขัน จึงต้องกำหนดนโยบายพื้นฐานด้านต่างๆ ทั้งกายภาพ และการเงิน การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
"การพัฒนา SME เป็นสิ่งที่ให้ความสนใจกันอย่างมาก เพื่อนำไปสู่การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ หากจะมองว่าเมื่อเข้าสู่ AEC ใครจะได้และใครจะเสียนั้น เป็นการมองแบบยึดติดความเป็นชาติ เพราะหากจะบูรณาการร่วมกันต้องมีได้และมีเสีย ไม่มีใครได้ด้านเดียวและเสียด้านเดียว แต่หากมีการพัฒนาตนเองโอกาสที่จะได้ก็มีมากกว่าเสีย นี่คือสปริตของการรวมตัวกัน ไม่อย่างนั้นการรวมตัวจะไม่เกิดผล"
ผศ.ดร.ธีระ กล่าวถึงภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม จากการผลิตร่วม แลกเปลี่ยนสินค้าและแรงงานที่มีฝีมือ ซึ่งนโยบายที่ถูกต้องและทำไปแล้ว คือการปรับอัตราภาษีสินค้าอ่อนไหว นอกจากนั้นต้องอำนวยความสะดวกให้เกิดความคล่องตัวในด้านต่างๆ ศุลกากร และการตรวจคนเข้าเมืองที่ยังมีความล่าช้า
"ในส่วนผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน คือ การเคลื่อนย้ายแรงงาน ที่จะเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ และเอื้อประโยชน์แก่นักลงทุน อีกทั้ง จะยกระดับการพัฒนาบุคลากรในอาชีพต่างๆ ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในอาเซียนและสากล อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่การยกระดับด้านภาษาให้อยู่ในขั้นที่ใช้งานได้"
ขณะที่อ.ดุลยภาค กล่าวว่า ในเบื้องต้นหากตั้งคำถามว่า AEC จะเจิดจ้าหรือพร่ามัวมองว่า ตนเห็นว่า อาจมีลักษณะเป็นแสงเทียนที่ทอแสงระยิบระยับ ไม่เจิดจ้า ตีจะมีความวูบวาบมาก ด้วยเพราะปัจจัยความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านโลจิสติกส์ เป็นเรื่องสำคัญที่น่าจับตามอง เมื่อเกิด AEC จะเกิดโครงข่ายคมนาคมที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน โดยที่ไทยจะเป็นศูนย์กลาง ณ จังหวัดพิษณุโลก เรียกได้ว่าเป็น 4 แยกอินโดจีน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าไทยจะวางทิศทางดังกล่าวให้สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ได้ จริงแค่ไหน หรือเป็นเพียงทางผ่านให้ประเทศต่างๆ เข้ามาซื้อขาแลกเปลี่ยนเท่านั้น
"ในส่วนการขนส่งระบบรางอย่างรถไฟ ขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม และพม่า ต่างเพิ่มประสิทธิภาพ ทำระบบความเร็วสูง และอุโมงค์ใต้ดิน การคมนาคมของเพื่อนบ้านเดินหน้าไปไกล ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการลงทุนและพัฒนา เช่นเดียวกับการคมนาคมทางน้ำ แม่น้ำแคบและตื้นเขิน เส้นทางเดินเรือมีระยะสั้น ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ต้องเร่งปรับทิศทางการมองใหม่"
อ.ดุลยภาค กล่าวต่อว่า AEC ที่เราฝันจะไปถึงนั้น จินตนาการว่าเป็นชุมชนที่จะรวมตัวกันอย่างเจิดจรัสและมีความสันติสุขนั้น ในความเป็นจริงและการปฏิบัติแล้วยังอีกยาวไกล ท่ามกลางบริบทสังคมการเมือง ภาษา วัฒนธรรมที่เชี่ยวกรากของแต่ละประเทศ มองแล้ว AEC คงจะสลึมสลือมากกว่าที่จะเจิดจรัส
ด้านนายทรงฤทธิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องทรัพยากรมนุษย์น้อย อีกทั้ง ไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งด้านภาษา การสื่อสารและวัฒนธรรม ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว รู้ภาษาไทยและสื่อสารได้กว่า 100% แต่ไทยต้องอาศัยล่าม
"หากสามารถปรับเรื่องการเรียนรู้ประเทศเพื่อนบ้านได้ การสื่อสารและเข้าใจประเทศเพื่อนบ้าน จะทำให้ทรัพยากรมนุษย์จะมีคุณภาพขึ้นและเป็นประโยชน์ในการลงทุน ซื้อขาย และทำให้การเข้าสู่ AEC มีโอกาสจะเจิดจรัสขึ้น"
