อนาคตไทยจะเป็นอย่างไร ? เมื่ออายุรบ.เฉลี่ยแค่ 1 ปี 3 เดือน /สั้นสุด 75 วัน

ลองนึกดูว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้ตัดสินใจถูกในอดีต?
สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation) ตั้งคำถาม พร้อมวิเคราะห์ประเด็นบนพื้นฐานข้อเท็จจริงไว้ได้อย่างน่าสนใจ ลองนึกภาพตามดู 3 การตัดสินใจที่ทำให้ประเทศไทยดีได้ในวันนี้
1.ประเทศไทยเริ่มส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (foreign direct investment: FDI)
-หากไม่ส่งสนับสนุน FDI การส่งออกของเราทุกวันนี้อาจหายไปถึง 25%
- FDI ทำให้เราสามารถสร้างกลุ่มอุตสาหกรรม (Cluster) ที่สำคัญๆ อย่างยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งกลายเป็นพระเอกส่งออกของไทย โดยมีสัดส่วนส่งออกสูงถึง 25%
- และถ้าเราไม่ได้สนับสนุน FDI วันนั้น เราคงไม่ได้เป็นผู้ส่งออก Hard Disk Dive และรถกระบะขนาด 1 ตัน เป็นอันดับ 1 ของโลก
2.โครงการ Eastern Seaboard
- ถ้าวันนั้นไม่สร้าง วันนี้เราจะไม่มีสารพัดอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอื่นๆทั้งต้นน้ำและปลาย
- 89% และ94% ของศักยภาพการกลั่นน้ำมัน และการแยกก๊าซของประเทศอยู่ที่นั่น
-56% ของวัตถุดิบในอุตสาหกรรมพลาสติก มากจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
- และหากไม่มี โครงการ Eastern Seaboard การส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ซึ่งรวมแล้วกว่า 10% ของการส่งออกทั้งหมด คงจะไม่มี !!
3.การส่งเสริมการท่องเที่ยว
ถ้าไม่ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติวันนี้อาจหายไปถึง 6 ล้านคน ปัจจุบันพบว่า การท่องเที่ยวมีอิทธิพลต่อรายได้ของคนไทยมาก เฉพาะภาคบริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ค้าส่ง มีสัดส่วนของการจ้างงานในภาคเอกชนสูงถึง 27%
และหากโรงแรมหายไปเกือบ 40% เที่ยวบินหายไป 40% การจ้างงาน รายได้ เรื่องปากท้องต่างๆ เราจะเป็นอย่างไรในวันนี้
คงเห็นแล้วว่า ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะกินบุญเก่า และบุญเก่าเหล่านั้นกำลังจะหมดไป !!

ไม่ว่าจะเป็น โครงการ Eastern Seaboard เจอปัญหามาบตาพุด มีพื้นที่ว่างให้เช่าเพียง 11% ของทั้งหมด และพื้นที่ดังกล่าวก็อยู่รอบเขตที่พักอาศัยและสถานที่ราชการ ดังนั้นจึงทำให้การลงทุนในโครงการใหญ่ๆชะงัก
หรือการท่องเที่ยวจะหวังโตแบบเดิมๆ ก็ทำได้ยาก เพราะเราไม่ได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ยังพึ่งพิงอยู่แต่ชายหาดและเกาะเดิมๆ อีกทั้งไม่ได้ฟื้นฟู ดูแลรักษาอย่างที่ควร ทำให้นักท่องเที่ยวมาไทยโตเพียงปีละ 5% เท่านั้น
สถาบันอนาคตไทยศึกษา ชี้ชัดว่า ตัวชี้วัด (KPI) ที่ถูกต้อง จะเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายเพื่ออนาคต และพัฒนาประเทศไทยให้มีความยั่งยืนในระยะยาวได้
ประกอบด้วย 4 เสาหลัก (1) ภาคสาธารณะ (2) ภาคประชาชน (3) ภาคเอกชน จะต้องแข็งแกร่งอยู่บนรากฐานของ (4) โครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตที่พอเพียงและมีประสิทธิภาพ
มาดูเสาแรก ภาคสาธารณะ หมายถึง รัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งการดำเนินการของภาคสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งความรู้ ความสามารถของบุคลากรที่ดี กฎระเบียบไม่ถ่วงรั้ง ตลอดจนความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี แต่ที่ผ่านมา...
รัฐบาลอายุเฉลี่ย 1 ปี 3 เดือน สั้นสุด 75 วัน
หลังปฏิวัติช่วงปลายปี 2549 จนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลในช่วงดังกล่าวมีอายุเฉลี่ยเพียง 1 ปี 3 เดือน โดยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีอายุสั้นสุดเพียง 75 วัน
หักเวลา...ที่รัฐมนตรีจะต้องทำความคุ้นเคยกับงานแต่ละกระทรวง หรือเวลาการเตรียมงบประมาณให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลแล้ว
อายุรัฐบาลเฉลี่ยที่ 1 ปี 3 เดือน
ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินนโยบายสำคัญๆ ให้มีความต่อเนื่องได้
ระหว่างปี 2545 – 2554 หลังจากมีการเพิ่มกระทรวงเป็น 19 กระทรวง ได้มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีเฉลี่ย 21 ตำแหน่ง โดยเฉพาะปี 2551 ที่มีรัฐบาลถึง 3 รัฐบาล เปลี่ยนรัฐมนตรีสูงสุดถึง 69 ตำแหน่ง
ผู้ว่าฯ อยู่ในตำแหน่งเฉลี่ย 1 ปี 6 เดือน
เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็อาจมีการย้ายข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลปี 2543 ของ 20 จังหวัดแรกที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีเศรษฐกิจรวม 66.5% ของ GDP
พบว่า ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลจะมีการโยกย้ายผู้ว่าฯ ในกลุ่มดังกล่าวกว่าครึ่งของตำแหน่งเสมอ
ซึ่งทำให้จากเดิมระยะเวลาเฉลี่ยในการดำรงตำแหน่งของผู้ว่าฯ เคยอยู่ราว 2 ปีเศษ มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1 ปี 6 เดือน
- ปี 2544 รัฐบาลทักษิณสมัย 1 โยกย้ายผู้ว่าฯ 13 จังหวัด หรือ 65%
- ปี 2549 รัฐบาลสุรยุทธ์ โยกย้ายผู้ว่าฯ ครั้งใหญ่ 14 ครั้ง หรือ 70% แต่ระหว่างการบริหารงานได้มีการเปลี่ยนผู้ว่าฯ เพียง 6 จังหวัด หรือ 30% และเมื่อบ้านเมืองเริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจนมาก ช่วงปี 2551 มีการเปลี่ยนผู้ว่าฯ ถึง 16 จังหวัด หรือ 80%
- ปี 2552 รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีการโยกย้ายผู้ว่าฯ สูงมากที่สุด 17 จังหวัด หรือ 85%
การโยกย้ายข้าราชการที่เป็นผู้บริหารระดับสูงบ่อยๆ ย่อมส่งผลให้การส่งผ่านนโยบายลงสู่การปฏิบัติจริง อาจไม่มีประสิทธิภาพ
บ้านเมืองสงบ เปลี่ยนบอร์ด รสก.มาก
ในบรรดารัฐวิสาหกิจของประเทศไทยมีสินทรัพย์รวมกันอยู่กว่า 9 ล้านล้านบาทในปี 2554 รัฐวิสาหกิจใหญ่ คือ ปตท. ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน มีสินทรัพย์รวมกันกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 55% ของสินทรัพย์รัฐวิสาหกิจทั้งหมด
ซึ่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจดังกล่าวได้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันอยู่เนืองๆ
- ช่วงก่อนวิกฤติการเมืองปี 2548-2549 ในรอบ 1 ปี มีการเปลี่ยนบอร์ดเข้าออกประมาณ 1/3 ของจำนวนบอร์ดทั้งหมด
- ช่วงปลายปี 2549 และปลายปี 2551 มีการเปลี่ยนบอร์ดกันน้อยเพียงปีละ 15% ของจำนวนที่นั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจทั้งหมด
แต่หากบ้านเมืองเริ่มสงบ กลับมีการเปลี่ยนบอร์ดกันมาก เช่น ในปี 2553 มีการเปลี่ยนบอร์ดกันถึงเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนบอร์ดที่มีทั้งหมดในรัฐวิสาหกิจใหญ่ 3 แห่งดังกล่าว
ตัวเลขข้างต้นสื่อถึงเรื่องการจัดการของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือคณะรัฐมนตรี จะเห็นว่าการเปลี่ยน หรือโยกย้ายบ่อยๆ โดยเฉพาะการขาดความต่อเนื่อง กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้นโยบายที่จะนำไปพัฒนาประเทศไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
สุดท้ายเราคงเข้าใจ เห็นภาพชัดขึ้นมาบ้าง ทำไมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ทั้งการที่รัฐสร้างถนน ทางรถไฟ หรือสร้างรถไฟฟ้า จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หรือเกิดได้แต่ก็เป็นไปอย่างล่าช้า.....
หมายเหตุ:ตอนต่อไป จะนำเสนอการวิเคราะห์ สิ่งที่เราต้องตัดสินใจวันนี้เพื่อยกระดับตัวชี้วัดของไทย ที่เหลืออีก 3 ด้าน ภาคประชาชน ภาคเอกชน และโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคต โดย "สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation)" ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้มูลนิธิไม่แสวงหากำไร โดยความตั้งใจของกลุ่มนักธุรกิจ นักวิชาการ และผู้นำความคิดจากหลายสาขา
ที่มา:เอกสารประกอบการเสนอในงาน Thailand Future Forum
