“ด้านมืด-ด้านมั่ว” ของโลกออนไลน์ เมื่อ "นักรบนิรนาม" แผลงฤทธิ์ !
ในขณะที่โลกอินเตอร์เน็ตเติบโตขึ้นด้วยอัตราเร่งอันน่าอัศจรรย์ใจ โดยเว็บไซต์ www.internetworldstats.com ประเมิน ว่า ช่วงสิ้นปี 2011 มีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตถึง 2,267 ล้านคน จากประชากรทั้งโลก 6,930 ล้านคน คิดเป็น 32.7% เพิ่มขึ้นจากทศวรรษที่แล้วถึง 528% !
ขณะที่ประเทศไทย มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 18.3 ล้านคน (เล่นเฟซบุ๊กถึง 14.2 ล้านคน) จากประชากร 66.7 ล้านคน คิดเป็น 27.4% เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่มีผู้ใช้อยู่เพียง 2.3 ล้านคน
แต่ก็น่าสนใจว่า “วุฒิภาวะ” ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต จะโตได้ทันอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ดังกล่าว หรือไม่
เนื่องจากบนอินเตอร์เน็ตยังมี “พื้นที่สีเทา” อยู่ไม่น้อย ด้วยการที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องแสดงตัว ทำให้มีการแสดงความเห็นกันอย่างไม่ยั้ง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เพราะ “นักรบนิรนาม” เหล่านั้นแทบไม่ต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมใดๆ ของตัวเอง
จึงเกิด “ด้านมืด” อาทิ ปรากฎการณ์ล่าแม่มด และ “ด้านมั่ว” ผ่านการปล่อยข่าวลือสารพัด
ในหนังสือปกขาว “รายงานประจำปีเครือข่ายพลเมืองเน็ต เสรีภาพและวัฒนธรรมอินเตอร์เน็ตไทย พ.ศ.2554” ที่จัดทำโดยเครือข่ายพลเมืองเน็ต หรือ "ไทยเนติเซ็น" ซึ่งแจกจ่ายในการประชุมว่าด้วยเทคโนโลยีและสิทธิพลเมืองครั้งที่ 1 “อินเทอร์เน็ตกับการจัดทำนโยบายสาธารณะ” ซึ่งจัดขึ้นที่หอประชุม องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้กล่าวถึง “2 ด้านลบ” ของโลกออนไลน์ดังกล่าว (แม้จะไม่ให้ใช้คำว่า ด้านมืด-ด้านมั่ว ก็ตาม)
“สำนักข่าวอิศรา” เห็นว่าน่าสนใจ จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาถ่ายทอดต่อ (โดยเรียบเรียงข้อความบางส่วนให้กระชับขึ้น) เพื่อให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไทยรู้เท่าทันธรรมชาติของโลกเสมือนจริงนี้
“ด้านมืด”
-สถานการณ์การล่าแม่มด หรือ Internet Vigilante (หน้า 54)
ตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ที่ความเห็นทางการเมืองของคนไทยแตกแยกอย่างรุนแรงมากขึ้น โดยมีประเด็นหลักอยู่เรื่องความเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ ด้วยมาตรา 112 พร้อมๆ กับการเติบโตขึ้นของเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น ไฮไฟว์และเฟซบุ๊ก ที่มีบทบาทในการสื่อสารประจำวันมากขึ้น และกลายเป็นพื้นที่หลักในการแสดงความเห็นทางการเมืองของบุคคลทั่วไป มีการถกเถียงเรื่อสถาบันกษัตริย์ และอินเตอร์เน็ตก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่ถูกใช้เพื่อแสดงความคิดเห็นเชิงเท่าทันต่อสถาบันฯ หรือไม่แสดงความจงรักภักดีเท่าที่ควร ไม่ว่าด้วยชื่อจริงหรือนามแฝง ด้วยความที่การวิจารณ์สถาบันฯ อย่างเท่าทันเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมไทยมานาน ผู้ที่เริ่มวิจารณ์สถาบันฯ จึง ถูก “เสียบประจาน” โดยฝ่ายผู้จงรักภักดีในเว็บบอร์ดต่างๆ เช่น เว็บบอร์ดเสรีไทยเป็นต้น
การ “เสียบประจาน” ดังกล่าว เกิดขึ้นโดยนำเอาข้อมูลส่วนบุคคล และรูปภาพของบุคคลๆ นั้นมา “ประจาน” เพื่อให้บุคคลดังกล่าวถูกรุมด่า และอาจนำไปสู่การถูกข่มขู่คุกคามทางวาจาและทางร่างกาย เป็นต้น
การเกิดขึ้นของเพจเฟซบุ๊ก เพื่อการล่าแม่มดผู้เห็นต่างทางการเมืองโดยเฉพาะประมาณเดือน ก.พ.2553 โดยเกิดกลุ่มยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม Social Sanction: SS ในเฟซบุ๊กขึ้น
หลังการเกิดขึ้นของ SS ไม่นาน ก็มีเพจต่อต้าน SS จากฝ่ายผู้ต่อต้านอำนาจเก่าเกิดขึ้น ได้แก่
1.Anti-Social Sanction (A-SS) ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคมเพื่อตอบโต้ SS
2.Sanction Witch Doctors (SWD) ยุทธการลงทัณฑ์นักล่าแม่มด ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาแทน A-SS ที่ถูกปิดไป ปัจจุบันมีภารกิจหลักคือการเปิดโปงตัวตนจริงของทีมงาน SS
3.Social Sanction: SS เป็นเพจที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้สับสนว่าเป็น SS โดยใช้ชื่อเพจและรูปประจำตัวเหมือนกับ SS จริง ทุกประการ หากต่างกันที่ URL (เพจจริงคือ facebook.com/SocialSanction เพจปลอมคือ facebook.com/SocialSanctions) เพจะนี้เสนอข้อมูลที่แย้งกับ SS จริงและนำเสนอข้อมูลเหมือนเพจเสื้อแดงทั่วไป คือ โจมตีฝ่ายนิยมอำนาจเก่า และพรรคประชาธิปัตย์
4.WHY-Social Sanction ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม ซึ่งเป็นเพจที่ตั้งคำถามกับการล่าแม่มด ถูกต้องขึ้นเมื่อราวกลางปี 2554 แต่สุดท้ายด้วยความที่เป็นเพจประเภทกลุ่ม ปัจจุบันไม่แอคทีปแล้ว จึงกลับกลายเป็นพื้นที่ๆ SS หรือคนที่สนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่ามาโพสต์ข้อควมรวมถึงรูปเสียบประจาน
โดยสรุปแล้ว เพจล่าแม่มดที่ปัจจุบันยังมีการล่าแม่มดอยู่อย่างต่อเนื่องคือ SS และ SWD เท่านั้น
กรณีศึกษา 1 เพจ ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม SS
จากการสำรวจ เพจ SS จะทำการ “เสียบประจาน” ผู้ที่มีความคิดเท่าทันสถาบันกษัตริย์ หรือเป็นเพียงคนเสื้อแดงที่นิยมขมขอบอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มาเปิดเผย โดยการนำภาพ ชื่อจริง และข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่ไปสืบเสาะมาได้ เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด ประวัติการศึกษา นายจ้าง ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อนายจ้าง รายชื่อบุคคลในครอบครัว หรือคนรัก มาเปิดเผย นอกจากนี้ ยังพบการตัดต่อภาพของผู้ถูก “ล่า” ในลักษณะล้อเลียน พร้อมเขียนความเห็นในเชิงด่าทอด้วยคำหยาบลงไปด้วย โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ที่ถูกเสียบประจานตกอยู่ในความกลัว และให้สมาชิกเพจนำข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้นไปคุกคาม เช่น โทรศัพท์ไปข่มขู่ เป็นต้น
SS เคยถูกปิดโดยเฟซบุ๊กอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปี 2553 และเสียบประจานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 คน ผู้ที่ถูก SS เสียบประจาน อาจถูกเสียบประจานได้มากกว่า 1 ครั้ง มักมาจากการที่ได้พยายามตอบโต้ SS โดยการโพสต์ความเห็นตอบโต้ SS ในหน้ากระดานเฟซบถ๊กของตนเอง ทำให้ SS จับภาพหน้าจอของการพยายามตอบโต้มาเยาะเย้ย และเสียบประจำซ้ำ
ชุดวาทกรรมหลักของ SS ที่ใช้ในการด่าทอฝ่ายต่อต้านอำนาจเก่า มีศูนย์กลางอยู่ที่แนวคิด “ความเป็นไทย” เห็นได้จากถ้อยคำที่พบบ่อยๆ เช่น เนรคุณ หนักแผ่นดิน ใจเขมร เป็นต้น นอกจากนี้ SS ยังมีการเหมารวมว่า ผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือผู้ที่รักอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และโง่ ถูกทักษิณหลอกใช้ ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมที่พบบ่อยๆ เช่น หางแดง ถูกหลอก ควายแดง เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว เพจ SS ถูกทำขึ้นเพื่อสนองความสะใจของผู้จงรักภักดีกลุ่มหนึ่งให้มีที่ได้แสดงความดูถูกเกลียดชังต่อฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง
กรณีศึกษา 2 เพจ SWD ยุทธการลงทัณฑ์นักล่าแม่มด
ก่อนถูกปิดเมื่อเดือน ธ.ค.2554 เคยมีเคยกดถูกใจเพจ SWD ราว 7 พันคน ก่อนจะกลับมาเปิดอีกครั้งในเดือน ม.ค.2555 โดย SWD จะทำการเปิดเผยบุคคลที่อยู่ในทีมงานของ SS โดยเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคนที่ SWD เชื่อว่าน่าจะเป็นทีมงานของ SS โดยมีการเปิดเผยชนิดข้อมูลมากกว่าทาง SS เช่น มีการเปิดเผยหมายเลขบัตรประชาชนของผู้ถูกล่า ชื่อบิดามาราดา ไปจนถึงหมายเลขประจำตัวประชาชนของบิดาและมารดา เป็นต้น
การ “เสียบประจาน” ของ SWD มักจะไม่มีการตัดต่อภาพ หรือล้อเลียนกับรูปร่างหน้าตามากเท่า SS แต่จะเน้นที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถนำมาเปิดเผยได้มากกว่า SS ที่ผ่านมา มีผู้ถูก SWD เสียบประจานที่สำรวจพบไม่เกิน 10 คน โดยสาเหตุของการเสียบประจานคือ ถูกต้องสงสัยว่าอยู่เบื้องหลัง SS
ชุดวาทกรรมหลักที่ SWD ใช้ในการด่าทอฝ่ายนิยมอำนาจเก่า มีศูนย์กลางอยู่ที่การดูถูกความจงรักภักดีของผู้รักสถาบันกษัตริย์เช่น พวกคลั่ง พวกฝุ่นใต้ดิน
แอดมิน SWD เคยพูดถึงเหตุผลในการล่าแม่มดฝ่าย SS ว่า แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ดี แต่เป็นเพราะไม่สามารถนิ่งนอนใจที่จะทนอยู่เฉยๆ ให้ฝ่าย SS มาล่าแต่ฝ่ายตนเองได้ จึงต้องทำการตอบโต้เช่นนี้ อุปมาเหมือนหนามยอก ก็ต้องเอาหนามบ่ง
โดยสรุปแล้ว เพจ SWD เต็มไปด้วยการแสดงความอาฆาต เคียดแค้นของฝ่ายต่อต้านอำนาจเก่า เป็นผลจากการถูกทำให้กลัว และการไม่มีเสรีภาพในการพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทย แสดงออกมาในรูปแบบการล่าเสียบประจานฝ่ายผู้จงรักภักดีแ ละแสดงความเกลียดชังต่อสถาบันกษัตริย์
การตอบโต้โดยสร้างบัญชีปลอม
ในปี 2554 พบรูปแบบการตอบโต้แบบใหม่ ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นวิธีที่ฝ่ายต่อต้านอำนาจเก่าใช้เพื่อตอบโต้บุคคลในฝ่ายนิยมสถาบันกษัตริย์ที่เป็นคู่กรณีเคยมีเรื่องโต้เถียงกันในเพจเฟซบุ๊กอื่นมาก่อน หรือแอคทีฟในการแจ้งความหรือต่อต้านฝ่ายต่อต้านอำนาจเก่า โดยสร้างบัญชีเฟซบุ๊กบุคคลปลอมเพื่อใส่ร้ายคู่กรณี โดยนำชื่อจริง ภาพจริง และประวัติของคู่กรณีมาสร้างเป็นบัญชีบุคคล โดยตั้งชื่อบัญชีมีคำห้อยท้ายที่แสดงถึงความเกลียดชังต่อสถาบันกษัตริย์อย่างชัดเจน พร้อมโพสต์สถานะแสดงการดูหมิ่น อาฆาต มาดร้าย ต่อสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง ทำให้บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อเสียชื่อเสียง ถูกด่าทอจากฝ่ายนิยมเจ้าผู้ไม่รู้ที่มาที่ไป
อย่างไรก็ตามมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับการถูกทำบัญชีบุคคลแอบอ้างของฝ่ายสนับสนุนอำนาจเก่า ใน 2 ทิศทาง 1.ปิดบังอัตลักษณ์จริงของตนเอง และ 2.เกิดแนวทางการต่อต้าน “พวกหมิ่น” อย่าง “สร้างสรรค์” อาทิ หยุดด่า-หยุดถูกใจขหยุดแบ่งปัน-กดรายงาน-แจ้งไอซีที โดยเพจที่มีความเป็นระบบมากที่สุด คือ สมาคม Report แห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ มีศัพท์ที่น่าสนใจคือ Bomb Report คือมีสมมุติฐานว่า ยิ่งมีคนกดรายงานเพจๆ หนึ่งในเวลาเดียวกันมากเท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้เพจๆ นั้นถูกระงับการเข้าโดยเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็วขึ้น โดยมีการนัดกับ Bomb Report อย่างน้อย 4 ครั้ง แต่ไม่ปรากฎผลว่าเพจหมิ่นลดลงอย่างชัดเจน
“ด้านมั่ว”
ในปี 2554 มีเหตุการณ์มากมายที่นำมาสู่กระแสบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งเกิดจากธรรมชาติของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่สนับสนุนให้เกิดการแชร์ข้อมูบลข่าวสาระระหว่างผู้ใช้ กระแสบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ในปี 2554 ล้วนเกิดจากการแชร์ข้อมูลระหว่างผู้ใช้อย่างรวดเร็ว จนอาจเรียกว่า “แชร์อย่างไม่ยั้งคิด” การแชร์ดังกล่าวนำไปสู่ผลทางบวก เช่น การให้ความช่วยเหลือ และผลทางลบ เช่น การตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยของคนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ในการตัดสินผู้อื่น ( Internet Vigilante)
-กรณีศึกษาของปรากฎการณ์การแชร์ข้อมูลที่ไร้ที่มาอย่างไม่ยั้งคิด (หน้า 123)
1.กรณีการเผยแพร่ข้อความซึ่งอ้างว่าเป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า “ถ้านำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้น ให้ผ่านไปเลย”
โดยปรากฎขึ้นในช่วงสายวันที่ 19 ต.ค.2554 ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ซึ่งการโพสต์ดังกล่าวเป็นไปอย่างไร้ซึ่งที่มาของข้อมูล วันที่และเวลากำกับ ข้อความดังกล่าวถูกแชร์ไปในหลายรูปแบบ โดยผู้ที่แชร์ข้อความหรือโพสต์คอมเมนต์ส่วนใหญ่ ไม่ได้แสดงอาการเอะใจ หรือท้วงติงเกี่ยวกับข้อความดังกล่าวแม้แต่น้อยว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหรือไม่
กระทั่งในช่วงค่ำวันเดียวกัน นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง ให้สัมภาษณ์ว่า ข้อความดังกล่าวไม่น่าจะเป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
2.กรณีคำบรรยายประกอบภาพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในพระอริยาบถกำลังพระราชทานสิ่งของ
ในวันที่ 12 ต.ค.2554 ปรากฎพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพฯ ในพระอริยาบถกำลังพระราชทานสิ่งของ พร้อมคำบรรยายในเฟซบุ๊กเพจ Lonklaow ซึ่งไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเพจใดๆ ว่าใครเป็นผู้ดูแล หรือเป็นผู้จัดทำ ว่า “สมเด็จพระเทพทรงออกช่วยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นการส่วนตัว จึงมิได้เป็นข่าว แม้กระทั่งข่าวในพระราชสำนัก” โพสต์ดังกล่าวมีคนกดถูกใจเกือบ 9 พันครั้ง และแขร์เกือบ 4 พันครั้ง แต่เมื่อนำภาพดังกล่าวไปตรวจสอบกับ Google Image Search พบว่าพระฉายาลักษณ์ดังกล่าวปรากฎมาตั้งแต่ปี 2553 จึงชื่อว่าพระฉายาลักษณ์นี้คงไม่ได้ถ่ายในปี 2554 และ Lonklaow กำลังจับคู่ภาพเก่า กับคำบรรยายที่หาแหล่งข้อมูลอ้างอิงไมได้
หลังจากที่เริ่มมีการท้องติง เพจ Lonklaow ก็ขึ้นข้อความขออภัยว่า เกิดความผิดพลาดในขณะโพสต์รูป แต่ก็ไม่ได้มีการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของข้อมูลพระราชกรณียกิจที่เพจดังกล่าวอ้าง
3.กรณีคำบรรยายประกอบภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะกำลังใช้มือถือถ่ายภาพบนเฮลิคอปเตอร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประกอบว่า “ดูนายกสิทำเป็นลุยงานหนัก แค่เอาเข้าจริงๆ ก็กระดี๊กระด๊าไม่ได้มีสามัญสำนึก” เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ข้อมูลไม่สามารถยืนยันได้จำนวนมากแพร่กระจายในเครือข่ายสังคมออนลน์ ก็ปรากฎเพจ Thailand Anti-Hoax Center หรือ ศูนย์ต่อต้านข่าวลือแห่งชาติ ในเฟซบุ๊ก ประมาณวันที่ 20 ต.ค.2554 โดยแฟนเพจสามารถส่งข่าวลือเกี่ยวกับน้ำท่วมเพื่อให้ผู้ดูแลเพจช่วยตรวจสอบ หรือนำข้อเท็จจริงมาเผยแพร่บนหน้าเพจ กรณีทั้ง 3 ก็ได้รับการตรวจสอบจากหน้าเพจนี้เช่นกัน
ถึงวันนี้ โลกอินเตอร์เน็ตยังอาจมี “ด้านมืด-ด้านมั่ว” ที่ผู้ใช้ยังรู้ไม่หมด จึงสมควรเข้าใจธรรมชาติของมัน เพื่อการใช้งานอย่างรู้เท่าทันอย่างแท้จริง !!!
