เปิดแผน กอ.รมน. "เคอร์ฟิวถนนสายรอง" เริ่มหลังรอมฎอน
แง้มแผน กอ.รมน.เสนอรัฐบาล "ประกาศเคอร์ฟิว" หลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน เน้นสกัดความเคลื่อนไหวบนถนนสายรองที่กลุ่มป่วนใต้ใช้หลบหนีหลังก่อเหตุรุนแรง ประสาน "ทัพ 4" ทำแผนสรุปเส้นทางทั้งหมด ระบุต้องให้ประชาชนเดือดร้อนบ้างจะได้หันมาช่วยดูแลเจ้าหน้าที่ พร้อมเพิ่มกำลังทหารคุม 7 เมืองเศรษฐกิจ ด้านรัฐมนตรีกลาโหมแก้เกมกำลังพลถูกโจมตีถี่ยิบ สั่ง ทอ.ส่งเครื่องบินติดอาวุธร่วมลาดตระเวนทางอากาศ ใต้ยังระอุ กราดยิงร้านน้ำชามุสลิม ปาบึ้มร้านน้ำชาไทยพุทธ
รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการทางทหารที่เข้มข้นขึ้นในการหยุดยั้งสถานการณ์ความ รุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายหลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ถึง 3 ครั้งในรอบ 11 วัน และมีเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามสังหารทหารเสียชีวิต 4 นาย โดยมีกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) บันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้ได้ จนสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งในและนอกพื้นที่
มาตรการที่จะถูกหยิบมาใช้ คือ มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด หรือ "เคอร์ฟิว" โดยแหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพบก (ทบ.) ให้ข้อมูลว่า การประกาศเคอร์ฟิวนั้นเป็นข้อเสนอของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราช อาณาจักร (กอ.รมน.) ที่จะใช้บางมาตราของพระราชกำหนดการบริหารรราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ รายละเอียดของประกาศ จะกำหนดเป็นกรอบกว้างๆ เน้นพื้นที่ที่เป็นเส้นทางย่อย เส้นทางลัด พื้นที่ที่ผู้ก่อเหตุสามารถหลบหนีได้ง่าย โดยให้กองทัพภาคที่ 4 ไปจัดทำแผนและรายละเอียดเส้นทางซึ่งมีหลายร้อยเส้นทาง หาก ครม.เห็นชอบ คาดว่าจะให้แม่ทัพภาคที่ 4 ประกาศใช้ได้หลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน
จากการตรวจสอบรายละเอียดใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของ "ทีมข่าวอิศรา" พบว่า มาตรการห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน หรือ "เคอร์ฟิว" นั้น บัญญัติไว้ในมาตรา 9 (1) ระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น ส่วนการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ บัญญัติไว้ในมาตรา 9 (4) ระบุว่า ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ โดยมาตรการเหล่านี้นายกรัฐมนตรีสามารถประกาศได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้า ครม. หากเป็นพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงอยู่แล้ว หรือหากใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 (มาตรา 11 (6) ระบุอำนาจการห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด) นายทหารระดับรองแม่ทัพก็ประกาศได้เลย
แจงเหตุกำลังพลไม่พอคุมพื้นที่ขนาดใหญ่
พล.ต.นักรบ บุญบัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 (รองผอ.ศปป.5 กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ถึงความจำเป็นของการประกาศเคอร์ฟิวว่า เป็นเพราะกำลังพลที่ใช้ในพื้นที่ไม่เหมาะกับขนาดพื้นที่ คือกำลังพลไม่พอที่จะคุมพื้นที่ขนาดนี้ จึงต้องจำกัดพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม วิธีการจะใช้ทั้งกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
"จริงๆ ไม่ต้องเข้า ครม. แค่รองแม่ทัพก็ประกาศได้อยู่แล้ว แต่เราต้องการรายงานให้รัฐบาลพิจารณาว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องดำเนินการ เรื่องนี้ และรัฐบาลจะต้องเป็นปากเสียงให้ทหาร เพราะกำลังเราไม่พอ"
สำหรับแผนการประกาศเคอร์ฟิวนั้น พล.ต.นักรบ กล่าวว่า จะประกาศเฉพาะเส้นทาง ขณะนี้ให้กองทัพภาคที่ 4 ดูเส้นทางอยู่ เพื่อให้ควบคุมง่าย เพียงพอต่อกำลังที่มี ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็ล่อเป้าตลอด
“ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ ประชาชนไม่เดือดร้อนก็จะไม่ช่วยเจ้าหน้าที่เลย ต้องให้เขาเดือดร้อนบ้าง แล้วก็จะหันมาช่วยเจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมาเราดูแลประชาชนแต่ประชาชนไม่ดูแลเจ้าหน้าที่เลย"
"ยุทธศักดิ์"รับเป็นไปได้เคอร์ฟิวบางเส้นทาง
สำหรับท่าทีของระดับนโยบายนั้น แม้เมื่อวันพุธที่ 1 ส.ค.2555 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี จะยังแสดงท่าทีไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการประกาศเคอร์ฟิว โดยตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวทำนองว่ายังไม่ได้หารือในรายละเอียด
ทว่าในวันพฤหัสบดีที่ 2 ส.ค. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะประกาศเคอร์ฟิว แต่อาจเป็นการพิจารณาประกาศใช้ในบางจุดและบางเส้นทางที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ไม่ได้ปิดเต็มพื้นที่เหมือนที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการเกิดความวิตกกังวลของประชาชนและความเสียหายด้านเศรษฐกิจ
ย้อนอดีตเคอร์ฟิวชายแดนใต้ "ยะหา-บันนังสตา"
มาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น หากนับเฉพาะในห้วงเวลาเกือบ 9 ปีของสถานการณ์ความไม่สงบ ฝ่ายทหารเคยประกาศมาแล้วเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2550 ในสมัยที่ พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 (ยศในขณะนั้น) และประกาศยกเลิกมาตรการเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2552 ในเขตพื้นที่ อ.ยะหา และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ในสมัยที่ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 (ยศในขณะนั้น) รวมระยะเวลาการประกาศนานกว่า 2 ปี
การประกาศเคอร์ฟิวดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งกองทัพภาคที่ 4 (เฉพาะ) ที่ 103/50 เรื่อง การห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน ลงวันที่ 15 มี.ค.2550 ห้ามประชาชนในเขตพื้นที่ อ.ยะหา และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ออกนอกเคหสถานในเวลา 21.00 น. ถึงเวลา 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น
สั่งคุมเข้ม 7 หัวเมืองเศรษฐกิจ
ที่ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัย ภายหลังเกิดระเบิดคาร์บอมบ์หลายครั้งในพื้นที่ โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี กลางเมืองปัตตานี ว่า จะเพิ่มมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพื่อสร้างสภาพแวด ล้อมให้ปลอดภัย โดยให้ความสำคัญสูงสุดในห้วงเดือนรอมฎอน โดยเพิ่มความเข้มข้นในการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจและจุดสกัดให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นได้เตรียมแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาลเกี่ยว กับมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยบูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กอ.รมน. ศอ.บต. และ 17 กระทรวง 66 หน่วยงานให้มีเอกภาพ
"ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติให้สอดคล้องกับ 29 เป้าหมายร่วมของ สมช.(สภาความมั่นคงแห่งชาติ) โดยให้ความเร่งด่วนกับการรักษาความปลอดภัยในเขตพื้นที่ 7 หัวเมืองเศรษฐกิจ ประกอบด้วย อ.เมือง อ.เบตง จ.ยะลา, อ.เมือง จ.ปัตตานี, อ.เมือง อ.ตากใบ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุดด้วยวิธีการเสริมยุทโธปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องวงจรปิด พร้อมเสริมกำลังทหารดูแลเขตเมืองให้มากขึ้น รวมทั้งการทบทวนการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย หรือ เซฟตี้ โซน ให้มีความเหมาะสมด้วย" พ.อ.ปราโมทย์ กล่าว
สั่งทัพฟ้าส่งเครื่องบินอารักขากำลังพลภาคพื้น
ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวถึงมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ได้หารือกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ (ผบ.เหล่าทัพ) และได้ลงความเห็นว่าต้องนำกำลังจากหลายๆ ส่วนมาช่วยกัน เพราะเห็นจุดอ่อนของกองทัพบก (ทบ.) คือทำงานที่ไม่ใช่หน้าที่มากเกินไปจนรู้สึกเหมือนจับฉ่ายไปหมด ทั้งนี้ อยากให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องส่งกำลังมาให้เพื่อสนับสนุนทหารด้วย เช่น การจับกุมของเถื่อน ยาเสพติด ทหารไม่สมควรเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะหน้าที่ของทหารเพียงให้การสนับสนุนเท่านั้น เนื่องจากทหารมีภารกิจมากอยู่แล้ว หน้าที่ตรงนี้ขาดกำลังตำรวจมาดูแล จึงต้องเสริมกำลังตำรวจตรงจุดนี้
สำหรับภารกิจประจำที่ทหารทำอยู่ ได้มาวิเคราะห์กันว่าทำให้ทหารเป็นเป้านิ่ง เช่น การคุ้มครองพระ ครู นักเรียน ซึ่งมีเวลาไปกลับที่แน่นอน และต้องทำกันทุกวัน ทำให้ผู้ก่อเหตุรู้การเคลื่อนไหวจึงตกเป็นเป้า มีโอกาสถูกโจมตีมาก ทั้งนี้ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ พล.อ.อ.อิทธิพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ว่าจะนำกำลังทางอากาศเข้าไปช่วย
"จะเป็นการปฏิบัติการเล็กๆ ไม่ถึงขั้นเอาเอฟ-16 (เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง) มาใช้ในการลาดตระเวน แต่ก็จะมีการติดอาวุธ เพราะว่าภารกิจประจำบนถนนจะต้องไปส่งคน และคิดว่าถ้ามีเครื่องบินอยู่ข้างบน โอกาสถูกโจมตีคงเกิดขึ้นยาก"
ใช้ "AU-23" รับผิดชอบภารกิจ
พล.อ.ต.มณฑล สัชฌุกร โฆษกกองทัพอากาศ (ทอ.) ให้สัมภาษณ์ "สำนักข่าวเนชั่น" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ส.ค.ถึงแนวทางการเพิ่มกำลังทางอากาศเพื่อสนับสนุนภารกิจในพื้นที่จังหวัดชาย แดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมากองทัพอากาศจัดกำลังเฉพาะกิจอากาศโยธิน (ฉก.อย.9) สนับสนุนการปฏิบัติงานภาคพื้นดินในการดูแลรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานบ่อ ทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมีภารกิจการลำเลียงทางอากาศเพื่อให้หน่วยปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติภารกิจ ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดเครื่องบิน AU-23 บินลาดตระเวนและถ่ายภาพทางอากาศให้กับกำลังภาคพื้นดิน
"ภายหลัง พล.อ.อ.สุกำพล มีนโยบายให้กองทัพอากาศเพิ่มภารกิจในการบินลาดตระเวนเพื่อคุ้มกันกำลังทหาร ภาคพื้นดินนั้น พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ.ได้สั่งการให้กรมยุทธการทหารอากาศทำแผนปฏิบัติงานให้เหมาะสมต่อภารกิจ และภูมิประเทศ ซึ่งเบื้องต้นภารกิจคุ้มกันน่าจะใช้เครื่องบิน AU-23" โฆษก ทอ.ระบุ
"ยุทธศักดิ์"นั่ง ผอ.ศูนย์ดับไฟใต้
ส่วนความคืบหน้ากรณีรัฐบาลมีคำสั่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นองค์กรพิเศษเพื่อรับผิดชอบคลี่คลายปัญหานั้น แหล่งข่าวจาก ทบ.เปิดเผยว่า ผบ.ทบ.ได้ประชุมพันธกิจร่วมกับ กอ.รมน.แล้ว เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ตามคำสั่งนายก รัฐมนตรี สรุปว่า ทบ.เสนอให้รัฐบาลเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ฯ 3 แห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาล กองทัพบก และกอ.รมน.
สำหรับโครงสร้างของศูนย์นั้น จะมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อำนวยการ มี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาศูนย์ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ และมีเสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) เป็นเลขานุการศูนย์ โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์และรายงานตรงต่อผู้อำนวยการ ศูนย์และนายกรัฐมนตรี รวมถึงอำนวยการแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้น
ปาบึ้มร้านน้ำชาไทยพุทธหลังกราดยิงร้านมุสลิม
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากเกิดเหตุระเบิดอย่างรุนแรงที่โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี อ.เมืองปัตตานี เมื่อค่ำวันที่ 31 มี.ค.2555 แล้ว ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นบ้างประปราย โดยเมื่อเวลา 02.00 น.วันพุธที่ 1 ส.ค. มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดซุ่มยิง นายดอเล๊าะ ยูโซะ อายุ 44 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหน้ามัสยิดบ้านท่าพงค์ หมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ ขณะที่นายดอเลาะกำลังเดินออกจากโรงเรียนตาดีกาบ้านท่าพงค์ มุ่งหน้ากลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
เวลา 13.20 น.คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน แล้วใช้ระเบิดขว้างแบบมาตรฐาน (เป็นระเบิดที่ใช้ทางทหาร ไม่ใช่ระเบิดแสวงเครื่อง) ขว้างใส่ร้านน้ำชา เลขที่ 65 บ้านป่าไร่ หมู่ 2 ต.ทุ่งพลา อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้ นายศักดิ์ชัย กุลณรงค์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 บ้านใหม่ หมู่ 1 ต.แม่ลาน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ซึ่งขณะเกิดเหตุนั่งอยู่บริเวณหน้าร้านได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยร้านน้ำชาแห่งนี้เป็นของพี่น้องไทยพุทธ
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันอังคารที้ 31 ก.ค.เวลา 21.30 น.ยังเกิดเหตุกราดยิงร้านน้ำชาของพี่น้องมุสลิมในท้องที่ อ.โคกโพธิ์ เช่นกัน โดยคนร้ายจำนวน 2 คน สวมชุดดำและหมวกปีกคล้ายเจ้าหน้าที่ มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 100 ไม่ทราบสีและหมายเลขทะเบียนเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนสงครามอาก้ากราดยิงใส่ร้านน้ำชาไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ที่บ้านตุปะ หมู่ 5 ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย ประกอบด้วย
1.นายสาและ บาราเฮง อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 บ้านตุปะ หมู่ 5 ต.ควนโนรี เสียชีวิต
2.นายอับดุลเลาะ มะนอ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170/3 บ้านตุปะ หมู่ 5 ต.ควนโนรี เสียชีวิต
3.นายมะแอ สะนิดอเลาะ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 บ้านตุปะ หมู่ 5 ต.ควนโนรี ได้รับบาดเจ็บ
4.นายยูโซ๊ะ ยูนุ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113/1 บ้านตุปะ หมู่ 5 ต.ควนโนรี ได้รับบาดเจ็บ
5.นายมะยา ขาเล็มดาเบะ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113/1 บ้านควนแปลงงู หมู่ 6 ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บ
6.นายดาราแม ขาเล็มดาเบะ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 บ้านควนแปลงงู หมู่ 6 ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน ได้รับบาดเจ็บ
เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อตอกลิ่มประชาชนสองศาสนาให้แตกแยกกัน และป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นผู้กระทำ
เผาโรงเรียนที่มายอซ้ำวอดทั้งหลัง
ค่ำวันพุธที่ 1 ส.ค.ยังเกิดเหตุคนร้ายจำนวน 4 คนมีรถจักรยานยนต์ 2 คันเป็นพาหนะ ลอบวางเพลิงเผาอาคารเรียนโรงเรียนบ้านกูวิง หมู่ 1 ต.สาคอใต้ อ.มายอ จ.ปัตตานี ทำให้อาคารเรียน 2 ชั้น 8 ห้องซึ่งเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ได้รับความเสียหายทั้งหลัง เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ทั้งนี้ อ.มายอ จ.ปัตตานี เพิ่งเกิดเหตุสลดกรณีคนร้ายเกือบ 20 คนใช้อาวุธสงครามรุมยิงเจ้าหน้าที่ทหารขณะเดินทางกลับฐานหลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลาดและชุมชน จนเสียชีวิตถึง 4 นาย เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการเผยแพร่ภาพที่บันทึกได้จากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดสู่สาธารณะ จนสร้างความหวาดหวั่นไปทั่ว
ซี.เอส.เสียหายหนัก-เด็ก 6 ขวบเจ็บ-ตำรวจได้เค้ามือบึ้ม
ด้านความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด "คาร์บอมบ์" ด้านหลังโรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี เมื่อค่ำวันอังคารที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น รายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 5 ราย ประกอบด้วย 1.นางเจ๊ะกอรีเย๊าะ ยือรา อายุ 35 ปี 2.นางศิริรักษ์ พรหมสิงห์ อายุ 53 ปี 3.นางรายอด๊ะ เจ๊ะอามะ อายุ 47 ปี 4.นายสมพร เนติ อายุ 42 ปี และ 5.เด็กหญิงพัชรนันท์ เม้งทอง อายุ 6 ปี ทั้งหมดพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี
สำหรับความเสียหายของโรงแรมนั้น ระบบไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้เลย เนื่องจากจุดที่คนร้ายนำรถที่ติดตั้งระเบิดมาจอด เป็นบริเวณใกล้กับหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของโรงแรม แรงระเบิดทำให้หม้อแปลงพัง ส่วนบริเวณห้องครัวของโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุได้รับความเสียหาย ตัวอาคารฝั่งด้านหลังทรุด กระจกแตกทุกบ้านตั้งแต่ชั้น 1 จนถึงชั้น 8 และยังเกิดเพลิงไหม้ห้องพักชั้น 7 กับห้องสัมมนาที่ชั้น 8 ด้วย
ส่วนความคืบหน้าทางคดี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ารถกระบะที่คนร้ายใช้บรรทุกระเบิดและนำมาจอดก่อนกดจุดชนวนนั้น เป็นรถกระบะยี่ห้ออีซูซุแบบตอนเดียวสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 8515 ปัตตานี แต่เป็นทะเบียนปลอม ส่วนป้ายทะเบียนจริงของรถคันนี้คือ ถล 8099 กรุงเทพมหานคร โดยเป็นรถของพ่อค้าส่งไก่ที่ถูกคนร้ายฆ่าและโจรกรรมมาจากพื้นที่ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2555
พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตามเส้นทางทุกจุดที่เข้าสู่ตัวเมืองปัตตานีแล้ว และเห็นรูปพรรณสัณฐานของผู้ก่อเหตุ เบื้องต้นทราบแล้วว่าเป็นกลุ่มใด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 สภาพอาคารโรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี ได้รับความเสียหายค่อนข้างหนักหลังโดนโจมตีด้วยคาร์บอมบ์ด้านหลังโรงแรม (ภาพโดย สุเมธ ปานเพชร)
2 ซากรถกระบะที่คนร้ายใช้ทำเป็นคาร์บอมบ์ (ภาพโดย แวลีเมาะ ปูซู)
