ไทย-มาเลเซีย หนุนจ้างงาน 5 หมื่นตำแหน่ง
ไทย-มาเลเซีย ฉลอง 40 ปีความร่วมมือโครงการ “เจดีเอ” หนุนจ้างงาน 5 หมื่นตำแหน่ง สร้างรายได้ 2 ประเทศปีนี้แตะ 1 หมื่นล้าดอลลาร์
องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย หรือ MTJA ฉลอง 40 ปี การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วม เพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียม โดยพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ถือเป็นผลงานความร่วมมือระหว่างประเทศที่ได้รับการชื่นชมจากนานาชาติในเวทีระหว่างประเทศที่สามารถแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ พร้อมเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อไป ผ่านความร่วมมือด้านต่างๆ โดยผู้แทนจากทั้งสองประเทศได้ย้ำถึงความร่วมมือต่อไปในอนาคตภายในงานเฉลิมฉลองความสำเร็จวันนี้
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยและมาเลเซียเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน มีการแบ่งปันความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมสังคมและประวัติศาสตร์ มานานหลายศตวรรษ ด้วยจิตวิญญาณของมิตรภาพและความร่วมมือซึ่งกันและกัน “องค์กรร่วมมาเลเซีย-ไทยถือเป็นการเริ่มต้นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองประเทศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐบาลในการดูแล สำรวจและแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานของการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมบนพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia – Thailand Joint Development Area : MTJDA) บนพื้นที่ประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์จากกิจกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ภายใต้เงื่อนไขของระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract) เป็นระยะเวลา 50 ปี ซึ่งรัฐบาลทั้งสองรับภาระและแบ่งปันโดยเท่าเทียมกันในสัดส่วน 50:50 นับได้ว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมร่วมกันและแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติจนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติบนเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งการจัดงานในวันนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายดาโต๊ะ สรี โมฮัมเหม็ด อัซมิน อาลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของมาเลเซีย มาเป็นประธานร่วมในการจัดงานดังกล่าวอีกด้วย
ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมการร่วมฝ่ายไทย ในองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมหาศาล เพราะเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ส่งเข้าประเทศไทยเฉลี่ย 509 ล้าน ลบ. ฟุตต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 16 ของการจัดหาก๊าซ ของประเทศ (3,252 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนแรกถูกส่งไปยังจังหวัดสงขลาและโรงไฟฟ้าจะนะจำนวน 163 ล้าน ลบ.ฟุต เพื่อเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่งของภาคใต้ตอนล่างและส่งก๊าซให้กับสถานีบริการ NGV 12 แห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ ถือเป็นแหล่งความมั่นคงให้กับธุรกิจและครัวเรือนของภาคใต้ ส่วนที่สอง ถูกส่งไปยังจังหวัดระยองจำนวน 346 ล้าน ลบ.ฟุต เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าของภาคกลางและภาคตะวันออก
ปัจจุบัน ระยะเวลาความร่วมมือนั้นผ่านไปแล้ว 40 ปี และกำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษสุดท้ายภายใต้ข้อตกลง ในปี 2572 จากการประเมินศักยภาพปิโตรเลียม พบว่าในพื้นที่ของ MTJA จะยังคงมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่สามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ไทยและมาเลเซียได้อีกต่อไปไม่น้อยกว่า 20 ปี และ ยังก่อให้เกิดประโยชน์ทางอ้อมสู่ประชาชน ชุมชน ในพื้นที่ใกล้เคียงของทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบและการจ้างแรงงาน กระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นานาประเทศในการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตพื้นที่ทับซ้อนในทะเลอย่างเป็นรูปธรรม”
ที่มาข่าว:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/848104

