โรดแมป 30 ปี การพัฒนาประเทศจีน…บทเรียนที่ต้องทบทวน?
การก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าร้อยละ 10 % มาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ทั่วโลกต่างจับจ้องมาที่จีนท่ามกลางความกังวลต่อการถดถอยของตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในขณะนี้ ที่เป็นผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจของทั้งโลก เพราะวันนี้จีนไม่ได้เป็นเพียงโรงงานของโลกเท่านั้นแต่จีนกำลังเป็นตลาดของโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน และส่วนหนึ่งมีกำลังซื้อระดับโลกและกำลังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผยุงเศรษฐกิจของทั้งโลกโดยมีความหวังให้จีนไปช่วยกู้หรือพยุงเศรษฐกิจอื่นๆที่กำลังประสบวิกฤตในขณะนี้
การพัฒนาของจีนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่จีนได้ขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปและการเปิดประเทศ เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศที่พึ่งการส่งออกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเช่นประเทศไทย
ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาดังกล่าวจีนใช้การส่งออกเป็นการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจโดยจีนเป็นโรงงานผลิตสินค้าต่างๆให้กับโลก อาศัยความได้เปรียบของแรงงานเพื่อส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลกได้เงินตราเข้าประเทศปีละมหาศาลจนติดอันดับเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของโลก มีทุนสำรองมากที่สุดในโลก รวมถึงเป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศรายใหญ่สุดในซีกโลกประเทศกำลังพัฒนาและเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ติดอันดับต้นของสหรัฐอเมริกา
จีนเริ่มต้นจากการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ และวัตถุดิบ อุปกรณ์ต่าง ๆเข้ามาเพื่อผลิตสินค้า
รายได้จากการขายสินค้ารัฐบาลจีนซึ่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้นำไปลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น การสร้างท่าเรือ จัดระบบคมนาคมและขนส่งทางบก เรือ และอากาศ โลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก นำเงินไปลงทุนในระบบสาธารณูปโภคในอุตสาหกรรมอื่นๆ และการสร้างเมือง ที่อยู่อาศัยของประชาชน
เงินทุนสำรองในปัจจุบันกว่าสามล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้น รัฐบาลได้นำไปสนับสนุนบริษัทจีนขนาดใหญ่ที่แปลงจากรัฐวิสาหกิจและอีกส่วนหนึ่งได้นำไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ นำไปซื้อพันธบัติของรัฐบาลสหรัฐฯ จนจีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ในระดับล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
เรียกได้ว่า เศรษฐกิจของจีนเชื่อมโยงกับตลาดโลกถึงขนาดผู้นำจีนประกาศอยู่เสมอว่า จีนคือส่วนหนึ่งของกระบวนการโลกาภิวัฒน์
สำหรับประเทศไทยการส่งออกก็เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเช่นกัน ในปัจจุบันการส่งออกเริ่มมีปัญหา โดยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสในสหรัฐอเมริกาตามด้วยวิกฤตของยูโรโซนในเวลาต่อมา การส่งออกของประเทศต่างๆ สู่ยุโรปและสหรัฐฯเริ่มส่ออาการทรุดของตลาดรองรับสำคัญของสินค้า รวมถึงไทย จีนเองก็ได้รับผลกระทบในแง่นี้เช่นกัน เมื่อการส่งออกจีนไปตลาดสหรัฐฯและยูโรโซนมีแนวโน้มกระทบต่อการเติบโตของจีดีพี รัฐบาลจีนในขณะนั้นก็ได้ประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคชนบท เช่น นำเครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไปขายในชนบทในราคาสนับสนุน ทำให้จีนได้รับการยอมรับว่าเศรษฐกิจของจีนได้ช่วยประคับประครองเศรษฐกิจโลกไม่ให้ตกต่ำลงไปอีกในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบทไปในเวลาเดียวกัน
ในคราวเกิดวิกฤต “ต้มยำกุ้ง”(หรือวิกฤตการเงินเอเชีย)เมื่อ 15 ปีที่แล้ว จีนก็เคยมี “คุณูประการ” ต่อการประคับประครองเศรษฐกิจของเอเชีย โดยตัดสินใจไม่การปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลหยวน
เพื่อสร้างอำนาจการแข่งขันมากขึ้นในระดับโลก จีนต้องส่งเสริมแหล่งทุน พัฒนานวัตกรรมที่มีอยู่ พัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึงเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของจีน(แบรนด์ดิ้ง)ส่งเสริมให้เป็นจีนเป็นฐานการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม และคุณภาพสูงส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ของจีน ได้ประกาศว่า ต่อไปนี้สินค้าของจีน ต้องเป็น China made ไม่ใช่ Made in China แนวทางการเติบโตของจีนจึงเน้นการพัฒนาเชิง “คุณภาพ” สร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับ ให้น้ำหนักกับการเติบโตที่ยั่งยืน
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ทุ่มเงินลงไปในเรื่องของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ จำนวนมากขึ้น ควบคู่ไปกับการสนับสนุนบทบาทของทุนต่างประเทศทั้งทุนทางธุรกิจ ทุนทางด้านบุคลากรคุณภาพ และการศึกษา
ในปัจจุบัน ภาครัฐยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเข้ามาจัดการข้อกำหนดต่างๆเพื่อเอื้อต่อการลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่เรื่องของอัตราดอกเบี้ย การสนับสนุนเงินกู้เพื่อการลงทุน การเข้าถึงแหล่งระดมทุนในประเทศ หรือแม้กระทั่งการจัดสรรงบประมาณของรัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคของประเทศอย่างรวดเร็ว ขยายขอบเขตการลงทุนของต่างชาติ ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในภาคบริการ ภาคการเงิน และสนับสนุนSMEs ให้เข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น
ต่อไปจีนจะไม่ได้เป็นโรงงานของโลกเพียงอย่างเดียว แต่จีนกำลังออกไปลงทุนในต่างประเทศทั้งในตะวันตกและซีกโลกกำลังพัฒนาซึ่งมีทั้งความรู้ ด้านเทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติและตลาด
30 ปีข้างหน้าจีนจะเติบโตเป็นส่วนหนึ่งของโลกมากขึ้นไปอีก การนำเข้า การส่งออกจะเป็นส่วนหนึ่งของจีนมากขึ้น ซึ่งจะเสริมดุลยภาพให้กับเศรษฐกิจจีนและของโลก
ยิ่งเศรษฐกิจจีนได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลกมีโอกาสแซงหน้าสหรัฐไปเป็นอันดับหนึ่งภายในทศวรรษหน้า ความรับผิดชอบต่างๆ ก็ตามมามากมาย ทั้งเรื่องของการพัฒนาขีดความสามารถของเศรษฐกิจจีน ที่จีนต้องหันไปดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง จีนต้องเข้าไปมีสิทธิมีเสียง ในเวทีระดับโลกมากยิ่งขึ้น
ในภาวะเช่นนี้ สิ่งที่ท้าทายจีนมิใช่เพียงตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจแต่เป็นคำถามที่ว่าจีนจะสามารถเสริมความยั่งยืนของสถานภาพเศรษฐกิจของตนได้อย่างไร
ความสำคัญในขณะนี้ คือ การผ่องถ่ายอำนาจและบทบาททางการเมืองจากผู้นำยุคปัจจุบันไปสู่ผู้นำเจนเนอเรชั่นที่ 5 ในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า ซึ่งคงจะกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกกิจ รวมถึงเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลก
ข้อมูลโดย :: http://www.cpthailand.com
:: ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
