'ชาวเมียนมา' เดินขบวนให้กำลังใจ 'ซูจี' ก่อนขึ้นศาลโลก
ประชาชนหลายพันคนเดินขบวนในกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนนางออง ซาน ซูจี ซึ่งเตรียมขึ้นศาลโลกที่กรุงเฮกในสัปดาห์นี้ เพื่อชี้แจงและแก้ต่างในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา
เว็บไซต์เดลินิวส์ รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ชาวเมียนมาหลายพันคนร่วมกันเดินขบวนไปตามท้องถนนในกรุงเนปิดอว์ เมื่อวันเสาร์ โดยมีการชูภาพวาดและแผ่นป้ายข้อความสนับสนุนนางออง ซาน ซูจี มนตรีแห่งรัฐและรมว.กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเตรียมทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลเมียนมา ให้การต่อหน้าคณะตุลาการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( ไอซีเจ ) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมียนมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว โดยไอซีเจมีกำหนดไต่สวนแบบเปิดระหว่างวันที่ 10 ถึง 12 ธ.ค. นี้ ในคดีที่แกมเบียยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา ในนามรัฐสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม ( โอไอซี ) และ "ในฐานะตัวแทนของชาวโรฮีนจา" ว่าเมียนมาละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่สมาชิกสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) รวมถึงแกมเบียและเมียนมาร่วมลงนามเมื่อเดือนธ.ค. 2491 จากการที่กองทัพเมียนมาปฏิบัติการ "อย่างโหดร้ายและป่าเถื่อน" ในรัฐยะไข่ เมื่อกลางปี 2560 ส่งผลให้ชาวโรฮีนจามากกว่า 740,000 คนลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและกองทัพเมียนมายืนกรานว่า ปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮีนจาเท่านั้น
นายถิ่น ลิน โอ หนึ่งในนักเขียนชื่อดังของเมียนมาซึ่งเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่นางซูจีให้การต้อนรับนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรมว.กระทรวงการต่างประเทศจีนพอดี กล่าวว่าชาวเมียนมามีความภาคภูมิใจที่นางซูจีเดินทางไปยังกรุงเฮกด้วยตัวเอง เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของประเทศจากข้อกล่าวหา ขณะที่นายวิน ส่วย หนึ่งในประชาชนซึ่งเข้าร่วมเดินขบวน กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า การกล่าวหาของแกมเบียไม่ใช่การกล่าวหานางซูจีเพียงคนเดียว แต่คือการกล่าวหาชาวเมียนมาทั้งประเทศ
ด้านนายเมียว นยุนต์ พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ( เอ็นแอลดี ) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลพลเรือนเมียนมาชุดปัจจุบัน กล่าวว่าการขึ้นศาลครั้งสำคัญนี้คือการที่นางซูจีจะได้มีโอกาสอธิบายและแก้ต่าง "ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน" ระหว่างมุมมองของชาวเมียนมากับประชาคมโลก ที่มีต่อสถานการณ์ในรัฐยะไข่

