“กิตติรัตน์"ปล่อยเงินกู้บริษัทตัวเองเข้ากระเป๋า 6แสน-จ่ายหนี้เกินเวลา
แกะรอยหนี้ ปริศนาขุนคลัง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง ” พบทำสัญญาปล่อยกู้ให้ตัวเอง 6 แสน ก่อนนั่งตำแหน่งรองนายกฯ- รมว.พาณิชย์ ปี 54 เผยแจ้งบัญชีทรัพย์สินล่าสุดช่วงพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี ยังจ่ายเงินไม่ครบ ทั้งที่เลยกำหนดชำระหนี้ไปแล้วกว่า 10 เดือน ?
กรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ที่แจ้งไว้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการเข้ารับตำแหน่งทางเมืองทุกตำแหน่ง ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า มีเงินกู้ยืมมาจากบริษัท คาเธ่ย์ แอสแซท แมเนจเม้นท์ จำกัด วงเงินจำนวน 497,000 บาท
โดยล่าสุดในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ช่วงพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2556 ระบุว่า มีหนี้เหลืออยู่จำนวน 384,174.45 บาท
ขณะที่ บริษัท คาเธ่ย์ แอสแซท แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นธุรกิจของนายกิตติรัตน์ แต่มีการโอนหุ้นบริษัทให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกองทุนส่วนบุคคล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด ก่อนเ้ข้ารับตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงหุ้นในส่วนของภรรยาด้วย
(อ่านประกอบ: ตามรอยหนี้สิน "กิตติรัตน์”ก่อนสวมบท“แม่ทัพ” โร่หาเงินกู้โปะจำนำข้าว!)
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว ที่นายกิตติรัตน์ นำมาแสดงไว้เพื่อประกอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.
พบว่า สัญญากู้เงินดังกล่าวทำขึ้นที่ บริษัท คาเธ่ย์ แอสแซท แมเนจเม้นท์ จำกัด ลงวันที่ 5 เมษายน 2554 ก่อนหน้าที่ นายกิตติรัตน์ จะเข้ามารับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554
ในสัญญากู้เงินดังกล่าว ระบุชื่อ บริษัท คาเธ่ย์ แอสแซท แมเนจเม้นท์ จำกัด โดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายกำพล ปุญโสณี เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ในฐานะ“ผู้ให้กู้”
ส่วนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ปรากฏรายชื่อ ในฐานะ “ผู้กู้”
จากการตรวจสอบสัญญากู้เงินดังกล่าว มีการระบุชัดเจนในสัญญา ว่า “ผู้ให้กู้” มีความประสงค์จะให้กู้ยืมเงินแก่กรรมการ “ผู้กู้”
มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี
นับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 5 เมษายน 2555
โดยระบุวงเงินกู้ไว้รวมเป็นจำนวนทั้งหมด 600,000 บาท และนายกิตติรัตน์ ได้รับเงินกู้ทั้งหมดเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย ในวันที่มีการลงนามในสัญญาฉบับนี้เรียบร้อยแล้ว
ในสัญญายังระบุด้วยว่า หากนายกิตติรัตน์ ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่ง บริษัทฯ มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเงินกู้ และทวงถามให้นายกิตติรัตน์ หรือผู้ค้ำประกัน ชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ย ซึ่งคิดไว้ในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี
“ผู้กู้ ตกลงที่จะชำระคืนเงินกู้ยืมตามสัญญานี้ ให้แก่ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดในวันที่ 5 เมษายน 2555 โดยตกลงที่จะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือน โดยโอนเงินเข้าบัญชีของ ผู้ให้กู้ ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรางน้ำ ประเภทออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 052-2-55553-3 ไม่เกินวันที่ 10 ของเดือน จนครบกำหนดระยะเวลาในตั๋วสัญญาใช้เงิน” สัญญาเงินกู้ฉบับนี้ ระบุไว้ในข้อ 2.2
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลในการแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ นายกิตติรัตน์ ช่วงพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2556
พบว่า นายกิตติรัตน์ ได้แจ้งต่อป.ป.ช. ว่า ยังเป็นลูกหนี้เงินกู้ของบริษัท คาเธ่ย์ฯ อยู่ โดย ณ วันที่ 18 มกราคม 2556 มียอดหนี้เหลืออยู่เป็นจำนวนเงิน 384,179.45 บาท
ทั้งที่ ผ่านพ้นระยะเวลาการนัดชำระหนี้เงินกู้ส่วนนี้ คือ วันที่ 5 เมษายน 2555 มานานแล้วเกือบ 10 เดือน?
(ภาพประกอบจาก bangkokbiznews)