- Home
- Investigative
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน
- เปิดกรุคดีโกงเงิน "รถเมล์" พนักงานขายตั๋วเกินจริง 7 บาท เจอคุก 2 ปี
เปิดกรุคดีโกงเงิน "รถเมล์" พนักงานขายตั๋วเกินจริง 7 บาท เจอคุก 2 ปี
เปิดกรุคดีทุจริตโกงเงินค่าโดยสารรถเมล์ "ขสมก." - 5 ปี ป.ป.ช. ฟันเรียบ 6 พนักงาน “ยักยอกเงิน-เก็บตั๋วเก่าขาย–ไม่ส่งเงินคืน” ฮือฮาขายตั๋วแพงเกินจริง 7 บาท จำคุก 2 ปี ปรับ 1,000 บาท
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลคดีการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับเงินค่าโดยสารรถประจำทาง ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบว่า นับตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน ป.ป.ช. ได้ลงมติชี้มูลความผิดพนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง ที่มีพฤติกรรมทุจริตเงินค่าโดยสารรถประจำทาง ไปแล้วเป็นจำนวน 6 ราย ดังนี้
- 12 มีนาคม 2545 น.ส.หนึ่ง หรือบุษยา คุณานรเทศ พนักงานเก็บค่าโดยสาร องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ คดีถูกกล่าวหาเบียดบังเงินค่าโดยสารรถโดยสาร ประจำทาง สาย ปอ.142 ขององค์การขนส่งมวลชน- กรุงเทพ เป็นของตนเองหรือ ของผู้อื่นโดยทุจริต
เบื้องต้น ป.ป.ช. ตัดสินว่ามีมูลความผิดทางอาญา และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 97 สำหรับความผิดทางวินัย เนื่องจากองค์ขนส่งมวลชน กรุงเทพ ได้มีคำสั่งลงโทษ ไล่ น.ส.หนึ่ง ออกจากงาน ในความผิดดังกล่าว จึงไม่มีประเด็นที่จะต้อง พิจารณาวินิจฉัยและ ดำเนินการในทางวินัยซ้ำอีก
- 4 กุมภาพันธ์ 2546 นายประเวช รอดแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง พนักงานเก็บค่าโดยสาร 1 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ คดีถูกกล่าวหาทุจริตนำตั๋วรถยนต์โดยสาร ปรับอากาศ ราคา 1 บาท ไปขาย ให้แก่ผู้โดยสารในราคา 8 บาท เป็นเหตุให้ทางราชการเสียหาย
เบื้องต้น ป.ป.ช. ตัดสินว่ามีมูลความผิดทางอาญา และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 97 เช่นกัน
โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ย.47 ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 7 บาท
-25 มีนาคม 2547 นายไกรฤกษ์ มีศรี อดีตพนักงานเก็บค่าโดยสาร รถประจำทางสาย 70 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ คดีถูกกล่าวหาไม่นำเงินพร้อมตั๋วโดยสาร รถประจำทางที่เหลือส่งคืน ฝ่ายบัญชีค่าโดยสาร กองการเดินรถที่ 37 ตามหน้าที่ กลับเบียดบังไปเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายแก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
ป.ป.ช. ตัดสินคดีว่า มีมูลความผิดทางอาญา และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 97
อย่างไรก็ตาม นายไกรฤกษ์ มีพฤติการณ์หลบหนีคดี ดังนั้น เมื่อมีการฟ้อง คดีอาญาตามมาตรา 97 และได้มีหนังสือแจ้ง ผู้ถูกกล่าวหาให้ไปรายงานตัวตามมาตรา 74 วรรคหนึ่ง แล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ไปรายงาน ตัวตามวัน เวลา ที่กำหนด จึงได้ดำเนินการขอให้ ศาลที่มีเขตอำนาจออกหมาย เพื่อให้มีการจับ และควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาเพื่อส่งตัวไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 26 (2)
ปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้ว ถูกจับเมื่อกุมภาพันธ์ 2551 ผู้ถูกกล่าวหารับสารภาพ ไม่มีการอุทธรณ์ จำคุก 5 ปี จำเลยรับสารภาพ จำคุก 2 ปี 6 เดือน
- 8 มีนาคม 2554 นางวิภาพร สมบัติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง พนักงานเก็บค่าโดยสาร 1 ประจำสายการเดินรถที่ 80 (ปรับอากาศ) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ คดีถูกกล่าวหาเก็บตั๋วโดยสารที่ขายแล้วนำไป ขายใหม่ แล้วเบียดบังเงินไปเป็น ประโยชน์ส่วนตัว
ป.ป.ช. ตัดสินว่ามีมูลความผิดทางอาญา ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 เม.ย.55 อัยการส่งฟ้องคดีแล้ว
- 14 กุมภาพันธ์ 2556 นางภรณ์ฑิรา นาคทอง อดีตพนักงานเก็บค่าโดยสาร องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ คดีถูกกล่าวหายักยอกเงินค่าโดยสาร
ป.ป.ช. ชี้ว่าคดีมีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด ของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงาน ของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 และมาตรา 11 นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับองค์การขนส่งมวลชน กรุงเทพ ฉบับที่ 46 ว่าด้วยวินัย การสอบสวน การลงโทษ และการอุทธรณ์ การลงโทษพนักงาน พ.ศ. 2524 ข้อ 4 วรรคสาม
อย่างไรก็ตาม สำหรับความผิดทางวินัย เนื่องจาก นางภรณ์ฑิรา ได้ถูกลงโทษ ไล่ออกจากการเป็นพนักงาน ในการกระทำ ความผิดนี้ เหมาะสมแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัย ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 ซ้ำอีก ให้แจ้งผลการพิจารณา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ผู้บังคับบัญชา ทราบต่อไป
ล่าสุด 26 กุมภาพันธ์ 2556 นางสายบัว สาระชาติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง พนักงานเก็บค่าโดยสาร 3 ประจำสายการเดินรถที่ 4 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ คดีถูกกล่าวหา นำตั๋วโดยสารที่จำหน่ายแล้ว ไปจำหน่ายให้ผู้โดยสารซ้ำอีก แล้วนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ฉบับที่ 46 ว่าด้วยวินัย การสอบสวน การลงโทษและการอุทธรณ์ การลงโทษพนักงาน พ.ศ.2524 ข้อ 8.1 และข้อ 8.2 นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิด ทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 และมาตรา 11
อย่างไรก็ตาม สำหรับความผิดทางวินัย เนื่องจาก นางสายบัว ได้ถูกลงโทษ ไล่ออกจากงาน ในการกระทำความผิดนี้ เหมาะสมแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะ ต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา โทษทางวินัย ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 อีก ให้แจ้งผลการพิจารณา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ด้านนายนเรศ บุญเปี่ยม รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ ขสมก. เปิดเผย สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงปัญหาการยักยอกเงินค่าโดยสารรถประจำทาง ขสมก.ว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานบนรถ มีทั้งรูปแบบการนำตั๋วเก่ามาขายให้กับผู้โดยสาร หรือการเก็บเงินโดยไม่ให้ตั๋ว แต่เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่า การกระทำความผิดแบบนี้ที่ผ่านมาเกิดขึ้นไม่มากนัก
นายนเรศ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การควบคุมดูแลปัญหานี้ไม่ให้เกิดขึ้น ทาง ขสมก. ได้มีการวางมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลจำนวนเงินกับตั๋วโดยสาร ที่เจ้าหน้าที่ต้องนำส่งทุกครั้งหลังปฏิบัติงาน การส่งเจ้าหน้าที่สำรวจข้อมูลผู้ใช้รถโดยสารในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อคำนวณยอดรายรับรายจ่ายในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการส่งสายตรวจขึ้นไปตรวจสอบข้อมูลการขายตั๋วโดยสาร ในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบเป็นทางการและการปลอมตัวเป็นผู้โดยสารขึ้นไป
“นอกจากนี้ สิ่งที่ ขสมก. เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนรับทราบกันบ่อยครั้ง ก็คือ การยักยอกเงินค่าโดยสาร ถือเป็นความผิดสถานหนัก ไม่ว่าจะยักยอกเงินไปกี่บาท บทลงโทษก็เหมือนกันคือ ไล่ออก และดำเนินคดีทางอาญาเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปัญหานี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนัก ” รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ ขสมก. ระบุ