- Home
- Investigative
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน
- ล่าเงินข้าว 'เสี่ยเปี๋ยง'-แกะรอยหัวคิวราชภักดิ์ จุดยืนข่าวสืบสวน 'อิศรา' ปี 58
ล่าเงินข้าว 'เสี่ยเปี๋ยง'-แกะรอยหัวคิวราชภักดิ์ จุดยืนข่าวสืบสวน 'อิศรา' ปี 58
"..จากผลงานข่าวทั้ง 2 ชิ้น ดังกล่าว คงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สามารถยืนยันต่อสาธารณชนได้เป็นอย่างดีว่า จุดยืนการทำหน้าที่สื่อมวลชนของสำนักข่าวอิศราเป็นอย่างไร เรามีนโยบายในการทำข่าวที่ชัดเจน คือ ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ปกป้องรักษาผลประโยชน์สาธารณะ ไม่ว่า นักการเมือง หรือ ทหาร จะก้าวขึ้นมามีอำนาจในการบริหารประเทศก็ตาม.."
ในช่วงรอบปี 2558 ที่ผ่านมา มีผลงานข่าวสืบสวนของสำนักข่าวอิศรา 2 ชิ้น ที่นำเสนอไปแล้วได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก ขณะที่หน่วยงานด้านการตรวจสอบก็นำข้อมูลและหลักฐานที่ปรากฎในข่าว ไปใช้ขยายผลการสอบสวนต่อ
ข่าวชิ้นแรก : ล่าเส้นทางเงินข้าวเครือข่าย-คนใกล้ชิด 'เสี่ยเปี๋ยง' 7.2 พันล้าน
ภายหลังจากที่โครงการรับจำนำข้าวในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกตรวจสอบพบปัญหาความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ในช่วงปลายปี 2556 ที่ผ่านมา ขณะที่เบื้องหลังกระบวนการระบายข้าว คนของบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ถูกตรวจสอบพบว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการนำข้าวจากสต็อกรัฐบาล ออกไปจำหน่ายให้กับผู้ส่งออกภายในประเทศโดยใช้ชื่อบริษัทจีนเข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ ในรูปแบบ จีทูจี
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า มีเงินปริศนาจำนวน 2 ก้อน รวมวงเงินกว่า 7.2 พันล้านบาท ที่ปรากฎชื่อบุคคลใกล้ชิด นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" อดีตนักธุรกิจค้าข้าวชื่อดัง ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด เข้ามาเกี่ยวข้อง
เงินก้อนแรก จำนวน 2,200 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อมูลเงินก้อนนี้ หลังจากขยายผลการตรวจสอบการทำธุรกิจของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้า ในช่วงปลายปี 2557 สืบเนื่องต่อมาจนถึงปี 2558
โดยมีการตรวจสอบพบว่า บริษัท สิราลัย จำกัด จดทะเบียนวันที่ 5 มีนาคม 2555 ทุน 2,200 ล้านบาท แจ้งประกอบกิจการให้เช่าอาคารโรงงานที่พักอาศัยรวมปลูกสร้าง ปรากฎชื่อนางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร (นามสกุลเดียวกับ “เสี่ยเปี๋ยง” หรือ “อภิชาติ จันทร์สกุลพร” อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และอดีตผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ) เป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ 50.0250% ซึ่งมีสำนักงานออฟฟิศตั้งอยู่เลขที่เดียวกับบริษัท สยามอินดิก้า คือ เลขที่ 48/7-8 ซอยรัชดาภิเษก 20 ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลง “ทุน” จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทอย่างรวดเร็ว ช่วงจดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2555 มีแค่ 1,000,000 บาท ก่อนจะปรับขึ้นเป็น 1,200,000,000 บาท เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 และเพิ่มเป็น 2,200,000,000 บาท เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท มีผู้ถือหุ้น 4 ราย คือ นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร ถือหุ้นจำนวน 8,000 หุ้น นายสรวิศ จันทร์สกุลพร ถือหุ้น 1,900 หุ้น นายธนทัต จันทร์สกุลพร ถืออยู่ 99 หุ้น นางสาวสุธิดา จันทะเอ ถืออยู่1หุ้น. จากทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แบ่งเป็น 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
โดยนางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ได้ทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงการรับชำระเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นแต่ละราย เป็นเงินสด ในวันเดียวกัน คือ วันที่ 2 มีนาคม 2555 แยกเป็นนางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร 200,000 บาท นายสรวิศ จันทร์สกุลพร 47,500 บาท นายธนทัต จันทร์สกุลพร 2,475 บาท และ นางสาวสุธิดา จันทะเอ 25บาท
ต่อมาวันที่ 19 มิถุนายน 2555 บริษัทฯ ได้แจ้งขอเพิ่มทุน เป็น 1,200,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 12,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ100 บาท โดยนางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ได้ทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงการรับชำระเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นแต่ละราย เป็นเงินสด ในวันเดียวกัน คือ วันที่ 18 มิถุนายน 2555 แยกเป็น นายธนทัต จันทร์สกุลพร 119,900,000 บาท นายสรวิศ จันทร์สกุลพร. 479,600,000 บาท นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร 599,500,000 บาท
ส่งผลทำให้จำนวนหุ้นในมือผู้ถือหุ้นที่ 4 ราย มีการเปลี่ยนแปลง ตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2555 โดยนางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 6,003,000 หุ้น นายสรวิศ จันทร์สกุลพร จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 4,797,900 หุ้น นายธนทัต จันทร์สกุลพร จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 1,199,099 หุ้น ขณะที่สัดส่วนหุ้นของ นางสาวสุธิดา จันทะเอ ยังเท่าเดิมคือ ถืออยู่ 1 หุ้น
จากนั้น วันที่ 29 สิงหาคม 2555 บริษัทฯ ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ เหลือ 3 ราย โดยปรากฏชื่อ นางกิ่งแก้ว ลิมปิสุข เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 4,800,000 หุ้น ขณะที่ นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร และ นายสรวิศ จันทร์สกุลพร ถืออยู่คนละ 3,600,000 หุ้น ขณะที่ นายธนทัต จันทร์สกุลพร และนางสาวสุธิดา จันทะเอ ไม่มีรายชื่อ เป็นผู้ถือหุ้นอีก
ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2555 บริษัทฯ ได้แจ้งขอเพิ่มทุน เป็นครั้งที่ 2 เป็น 2,200,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 22,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ได้ทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงการรับชำระเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นแต่ละราย เป็นเงินสด ในวันเดียวกัน คือ วันที่ 15 ตุลาคม 2555 แยกเป็น นายสรวิศ จันทร์สกุลพร 300,000,000 บาท นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร. 300,000,000 บาท และ นางกิ่งแก้ว ลิมปิสุข 400,000,000 บาท
สำนักข่าวอิศรา ยังตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริษัทสิราลัย จำกัด ได้แจ้งเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น "บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด" พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารและผู้ถือหุ้น จำนวน22,000 หุ้น มูลค่า 2,200 ล้านบาท ทั้งหมด ภายหลังจากที่ นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัท สิราลัย ปรากฎชื่อเป็นหนึ่งในเอกชนจำนวน 91 ราย ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาคดีทุจริตระบายข้าวในโครงการรับจำนำแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี
โดยผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ มีบริษัท ที แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 21,999,998 หุ้น มูลค่า 2,199,999,800 บาท ตามด้วยนายพีรศักดิ์ ไชยกุลงามดี และนายยุทธพงศ์ เสรีดีเลิศ ถืออยู่คนละ 1 หุ้น มูลค่า 100 บาท
ไม่ปรากฏชื่อคนนามสกุล จันทร์สกุลพร เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด
ก่อนที่ บริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ADAM ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเข้ามาซื้อกิจการ ของบริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด ต่ออีกครั้ง
ขณะที่ ADAM แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้เข้าไปซื้อหุ้น KITHA จำนวนรวม 21,999,998 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 99.99 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ KITHA จาก บริษัท ที แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (T LAND) ในราคา 800 ล้านบาท และมีการระบุข้อมูลว่า KITHA เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ และมีทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดิน
ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ปรากฎข้อมูลที่ชัดเจนว่า คนนามสกุล จันทร์สกุลพร นำเงิน 2,200 ล้านบาท จากไหนมาใช้ในการเพิ่มทุนบริษัทฯ กันแน่?
(อ่านประกอบ : เปิดหลักฐาน คนสกุล"เสี่ยเปี๋ยง"ขนเงินสด2.2พันล.ลงขันธุรกิจ ก่อนเจอคดีข้าว ,หลักฐานครบชุด"คนสกุล"เสี่ยเปี๋ยง ขนเงินสด 2.2 พันล.รอผลป.ป.ช.ชี้คดีข้าว , 3คำถาม!เส้นทางเงินบ.เครือข่าย"เสี่ยเปี๋ยง"คดีข้าวจีทูจี ก่อน-หลังโอนหุ้นเกลี้ยง 2.2 พันล.)
เงินก้อนที่สอง จำนวน 5,000 ล้านบาท
ในช่วงกลางปี 2558 สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อมูลเงินก้อนนี้ จากการเข้าไปตรวจสอบงบการเงินบริษัท เมอร์รี่ไรซ์แลนด์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2556 มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ปรากฎชื่อนาย สรวิศ จันทร์สกุลพร ลูกชาย นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่เพิ่งนำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ปี 2556และ 2557 พร้อมกัน เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา
จากการตรวจสอบงบการเงินปี 2556 บริษัทฯ ระบุว่า มีเงินกู้ยืมระยะยาวจากบริษัทเอกชนต่างประเทศ จำนวน 5,000 ล้านบาท แต่ไม่มีการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญากู้เงิน แต่อย่างใด
ขณะที่ ในงบการเงินปี 2557 ระบุว่า บริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ มีการปล่อยเงินให้กิจการที่เกี่ยวข้องไปเป็นจำนวน 3,173 ล้านบาท แยกเป็น 2 สัญญา สัญญาแรกวงเงิน 2,933 ล้านบาท สัญญาที่สองวงเงิน 240 ล้านบาท ไม่มีการวางค้ำประกันเงินกู้เช่นกัน
นอกจากนี้ มีการระบุไว้ในหมายเหตุงบการเงินชัดเจนว่า นับตั้งแต่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2556 จนถึงปัจจุบัน บริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ มิได้ประกอบธุรกิจหลัก แต่อย่างใด
จากการตรวจสอบยังพบว่า ในช่วงก่อตั้งบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ นายสรวิศ มีอายุเพียงแค่ 24 ปี ส่วนที่ตั้งของบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ แจ้งที่อยู่ที่เดียวกับบริษัท สยามอินดิก้า ที่ จ.อ่างทอง
ขณะที่ ในขั้นตอนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ มีการใช้คนจากบริษัทสยามอินดิ ก้าเข้ามาช่วย ทั้งการร่วมถือหุ้น ทำบัญชี หรือแม้กระทั่งผู้สอบบัญชี ก็ใช้คนชุดเดียวกับของบริษัทสยามอินดิก้า
ทั้งนี้ กรณีเงินที่ก้อนสอง จำนวน 5,000 ล้านบาทดังกล่าว
สำนักข่าวอิศรา ได้ตั้งข้อสังเกตใน 4 ประเด็นหลักไว้ คือ
1. ทำไมบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ ของนายสรวิศ ถึงได้รับความไว้วางใจจากเอกชนต่างชาติรายนี้ ให้กู้เงินเป็นจำนวนสูงถึง 5,000 ล้านบาท แถมบริษัทฯ ยังนำเงินไปปล่อยกู้ต่อได้อีก
2. บริษัทเอกชนต่างประเทศ ที่ให้กู้ยืมเงินจำนวนถึง 5,000 ล้านบาท มีชื่อว่าอะไร ทำธุรกิจอะไร ทำไมถึงใจดีให้กู้ยืมเงิน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาแบบนี้
3. กิจการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ ที่ได้รับเงินกู้ยืมจำนวน 3,173 ล้านบาท คือ บริษัทอะไร ทำธุรกิจอะไร และทำไมบริษัทเมอร์รี่ไรซ์แลนด์ฯ ถึงใจดีให้กู้ยืมเงิน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาแบบนี้ แถมวงเงินกู้ยืมจำนวน 240 ล้านบาท ตามสัญญาที่สอง ยังไม่ต้องมีการทำสัญญาด้วย
4. เงินจำนวนนี้ เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินระบายข้าวจีทูจีหรือไม่
แต่ปัจจุบัน ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากนายสรวิศ และผู้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
อย่างไรดี เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา ได้แจ้งและนำส่งมอบข้อมูลส่วนนี้ ให้กับกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้รับทราบและนำไปใช้ขยายผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการแล้ว
รวมถึงข้อมูล ความเชื่อมโยงทางธุรกิจของ นายสรวิศ กับ ตัวแทนบริษัทจีนที่เข้ามาซื้อข้าวจีทูจี กับกรมการค้าต่างประเทศ ด้วย
(อ่านประกอบ : หลักฐานใหม่คดีข้าวจีทูจี “ปาล์ม-รัฐนิธ" โผล่ชื่อพยานตั้ง บ.ลูกชาย"เสี่ยเปี๋ยง" , ชัดเลย! นักธุรกิจจีน ร่วมตั้ง บ.ลูกชาย "เสี่ยเปี๋ยง" คนบ.ไห่หนาน คดีข้าวจีทูจี , ปิดสำนวนสอบ!'อิศรา'แกะรอยเงินปริศนาคนสกุล 'เสี่ยเปี๋ยง' เบ็ดเสร็จ 7.2 พันล.)
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2558 สำนักข่าวอิศรา ยังได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ ชีวิตในเรือนจำปากน้ำ แดน 3 ของ 'เสี่ยเปี๋ยง' อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง หลังถูกศาลสั่งจำคุก 6 ปี ยักยอกข้าวรัฐ ยุค 'เพรสซิเดนท์' ให้สาธารณชน
โดยสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ หลายคน กัน ว่า นายอภิชาติ ถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2558 ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในแดน 3 ซึ่งเป็นแดนที่ควบคุมดูแลนักโทษคดีสำคัญๆ
สำหรับการใช้ชีวิตของนายอภิชาติในเรือนจำ ก็เหมือนกับนักโทษคนอื่นๆทั่วไป ทั้งเรื่องการกินอาหาร ที่พัก กิจวัตรประจำวัร ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือกว่านักโทษคนอื่น
ส่วนกิจวัตรประจำวันที่นายอภิชาติต้องทำหลักก็จะมีการสวดมนต์ 2 รอบ คือ ช่วงตี 5 และ ช่วงเวลา 5 โมงเย็น และเข้าร่วมกิจกรรมอื่นที่นักโทษต้องปฏิบัติ
ขณะที่รายการอาหารที่กินก็เป็นไปตามที่เรือนจำจัดไว้ เช่น แกงไก่ แกงหมู ผัดผัก ปลาเบญจพรรณต่าง ๆ เป็นต้น
เจ้าหน้าที่เรือนจำรายหนึ่ง ยืนยันว่า ในช่วงแรกที่ถูกส่งตัวเข้ามา นายอภิชาติ มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัดเจน อยู่เฉยๆ ไม่ค่อยพูดจากกับใคร แต่ปัจจุบันก็เริ่มปรับตัวได้บ้าง มีการอ่านหนังสือ และออกกำลังกายบ้าง
แต่ปัจจุบันก็ยังดูมีความกังวลใจ ดูร้อนใจ เหมือนเป็นห่วงอะไรอยู่ตลอดเวลา
ส่วนคนในครอบครัวของนายอภิชาติ ก็เดินทางมาเยี่ยมสม่ำเสมอ ทั้ง ภรรยา ลูกชาย น้องสาว จะขับรถยนต์มาช่วงเช้าๆ โดยรถยนต์ที่ใช้มี 2 คัน คือ "แลนด์ ครูเซอร์ สีขาว" และ "โฟล์คตู้สีดำ"
และนี่คือ บทสรุปของชะตากรรม นายอภิชาติ อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง ที่กำลังอยู่ในกระบวนการต่อสู้คดีในชั้นศาล เพื่อพิสูจนความบริสุทธิ์ของตนเอง ซึ่งยังมีคดีข้าวสำคัญอีกหลายเรื่อง ที่รออยู่ โดยเฉพาะการระบายข้าวจีทูจีในยคุรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
(อ่านประกอบ : ชีวิตในเรือนจำปากน้ำแดน 3 'เสี่ยเปี๋ยง' หลังเจอคุก 6 ปี ยักยอกข้าวรัฐ)
ข่าวชิ้นที่สอง : แกะรอยหัวคิวโรงหล่อ อุทยานราชภักดิ์
ในช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า กรณีความไม่โปร่งใสในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์อย่างใหญ่หลวงให้กับกองทัพบก และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการหักหัวคิว โรงหล่อ ที่เข้ามารับงานปั้นสมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม 7 พระองค์
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เป็นหนึ่งในสื่อมวลชนหลายแห่ง ที่ร่วมนำเสนอข่าวชิ้นนี้ด้วย โดยใช้กระบวนการทำข่าวเชิงสืบสวน เพื่อตรวจสอบและติดตามปัญหาความผิดปกติในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์อย่างใกล้ชิด
โดยเริ่มต้นจากการลงพื้นที่ไปดูงานก่อสร้างสถานที่จริง ถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และตามมาด้วยการติดตามตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกโรงหล่อทั้ง 6 แห่ง ที่เข้ามารับงานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ แต่ละแห่ง รวมถึงการตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวน 63 ล้านบาท สำหรับงานก่อสร้างส่วนประกอบต่างๆ เช่น งานปรับพื้น แท่นหินอ่อน ลานสักการะบูชา ด้วย
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของสำนักข่าวอิศรา ทำให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นว่า งานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ มีปัญหาในเรื่องการเรียกรับเงินค่าหัวคิวก่อสร้างงานเกิดขึ้นจริง
พิจารณาได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้
1. ในสำนวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐว่า เจ้าของโรงหล่อหลายแห่ง ได้รับการติดต่อจากเซียนพระรายหนึ่ง ในเข้ามารับงานหล่อองค์พระรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ และมีการจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้กับเซียนพระรายนี้เป็นจำนวน 10 % ของราคางานก่อสร้าง (มูลค่ารวมหลายล้านบาท)
2. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ประธานจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยอมรับว่า มีบุคคลแอบอ้างเรียกรับหัวคิวโรงหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ แต่ได้ดำเนินการแก้ปัญหาไปก่อนหน้านี้แล้ว
3. นายเอนก หงษ์มณี เจ้าของโรงหล่อประติมา ไฟน์ อาร์ท ซึ่งเข้ามารับงานจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ของอุทยานราชภักดิ์ วงเงินจำนวน 44 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า โรงหล่อหลายแห่งมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับเซียนพระจริง แต่สำหรับตนเอง จ่ายให้เป็นค่าตอบแทนในการเข้ามาช่วยเหลืองานให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ ไม่คิดว่าเป็นค่าหัวคิว
ก่อนจะยอมรับว่า เคยได้รับการติดต่อจากทหาร ว่า สามารถติดตามเงินส่วนนี้ที่จ่ายให้กับเซียนพระกลับมาได้แล้ว ทางฝ่ายโรงหล่อต้องการเงินส่วนนี้คืนหรือไม่ แต่ไม่มีใครรับคืนมา และพร้อมใจกันบริจาคเป็นเงินรวมสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งในขั้นตอนทางทหารได้ออกใบเสร็จรับเงินจำนวนนี้ให้ด้วย
4. นางสาว พรนภา สิกขะมณฑล กรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท สยามสโตนอาร์ต จำกัด ได้รับการว่าจ้างงานก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์จริง ทั้งในส่วนงานปูพื้นหินลานสักการะ , บันได และลานชั้นบน รอบแท่นพระบรมรูป อุทยานราชภักดิ์ วงเงิน 34,980,200 บาท และ งานติดตั้งหินอ่อนรอบแท่นพระบรมรูป 7 รัฐกาล วงเงิน 11,963,600 บาท (รวมวงเงินว่าจ้างทั้งสิ้น 46,943,800 บาท) ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราเช่นกันว่า ปัญหาเรื่องการเรียกเก็บหัวคิวโรงหล่อ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน ก่อนกลุ่มหมอหยองจะถูกดำเนินคดีเสียอีก
ขณะที่งานก่อสร้างส่วนอื่นๆ สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากทีมตรวจสอบ สตง. ว่า เส้นทางการเงินที่นำมาใช้ในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งอยู่ในเป้าหมายการตรวจสอบของ สตง. ขณะนี้ มี 2 ส่วนหลัก คือ 1.เงินงบประมาณแผ่นดิน 2. เงินสนับสนุนที่ได้รับมาจากการบริจาคของหน่วยงานภาครัฐ
และผลจากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้น เส้นทางเงินประมาณที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการงานก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 เส้นทาง คือ 1. เงินงบประมาณแผ่นดิน 2. เงินบริจาคจากภาครัฐและเอกชน และ 3.เงินบริจาคของประชาชนทั่วไป
แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ งานก่อสร้างบางส่วน ไม่ได้มีการทำสัญญาไว้ ซึ่งเป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากการที่เอกชนหลายรายใช้วิธีการบริจาคในรูปแบบการเข้ามารับงานก่อสร้างให้ แทนการบริจาคเงิน และเมื่อทำงานเสร็จก็มาขอให้ตีราคางาน และขอให้ทางอุทยานฯ ออกใบอนุโมทนาให้ เพื่อนำไปใช้ในเรื่องการหักค่าใช้จ่าย ยกเว้นภาษี ข้อมูลค่อนข้างซับซ้อน
อย่างไรก็ดี สตง.จะเข้าไปตรวจสอบว่างานก่อสร้างส่วนที่ได้รับบริจาคจากเอกชนจริงๆ แล้ว มีอะไรบ้าง และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมาใช้และซ้ำซ้อนกันหรือไม่ เอกชนเขามาทำงานให้แล้ว แต่ไปทำเรื่องเบิกจ่ายเงินจ่ายเพิ่มอีกหรือเปล่า
ส่วนปัญหาเรื่องการหักหัวคิวโรงหล่อ นั้น ทีมตรวจสอบ สตง. ยืนยันว่า เท่าที่ได้รับฟังข้อมูลมา ขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่า เซียนพระรายหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าตอนนี้อยู่ในต่างประเทศ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน
"แต่การจะระบุว่าเรื่องนี้มีปัญหาเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ต้องเข้าไปดูกระบวนการทำงานหล่อองค์พระรูป ว่าจริงๆแล้วทำกันอย่างไร เพราะมีข้อมูลบางส่วนยืนยันว่าองค์พระรูปแต่ละองค์ จริงๆแล้ว จะมีคนในวงการพระเครื่อง มาเสนอตัวที่จะออกงบประมาณเพื่อสร้างถวายให้ ในรูปการบริจาคสิ่งของ ก่อนที่คณะกรรมการก่อสร้างจะไปว่าจ้างโรงหล่อมาทำงานตามแบบที่ออกไว้อีกครั้ง"
"ส่วนขั้นตอนการไปเรี่ยไรเงินมาของกลุ่มเซียนพระตามสายของตนเอง ต้องดูว่ามีเรื่องผลประโยชน์เกิดขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะการเรี่ยไรเงินที่สูงกว่าความเป็นจริง"
(อ่านประกอบ : ล้วงข้อมูล'สตง.'!เปิดชื่อ 4 บริษัทใหม่ ขนเงินสิ่งของบริจาคก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์, 'ช.การช่าง' โต้โผใหญ่ บริจาค 100 ล.! 'อิศรา' ตะลุยเช็คลิสต์งานก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ , สถานะของ 'เสธ.โต' กับหนทางสู่การล้มเลิก 'มูลนิธิราชภักดิ์' ? , ชื่อ'กท.ทบ.'โชว์หราแต่ไม่รู้ใครทำ! เจาะงานรั้วภายในอุทยานราชภักดิ์9.3 ล. , เปิดตัว 'พันเอก' ผู้ประสานงานทบ.รับบริจาคเงินสร้างอุทยานราชภักดิ์พันล้าน , เผยโฉมครั้งแรก! หนังสือขอบริจาคเงินสร้างอุทยานราชภักดิ์พันล.-'อุดมเดช' ลงนาม , ขมวดปมหัวคิวโรงหล่อ! สรุป 'เซียนพระอุ๊' มีเอี่ยวจริงหรือ? หาตัวมาแถลงชัดๆได้ไหม?)
-----
จากผลงานข่าวทั้ง 2 ชิ้น ดังกล่าว คงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สามารถยืนยันต่อสาธารณชนได้เป็นอย่างดีว่า จุดยืนการทำหน้าที่สื่อมวลชนของสำนักข่าวอิศราเป็นอย่างไร
เรามีนโยบายในการทำข่าวที่ชัดเจน คือ ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ปกป้องรักษาผลประโยชน์สาธารณะ
ไม่ว่า 'นักการเมือง' หรือ 'ทหาร' จะก้าวขึ้นมามีอำนาจในการบริหารประเทศก็ตามที
และจะคงเป็นแบบนี้สืบไปทุกปี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง !