- Home
- Investigative
- การทำผิดของเอกชน
- เปิดหนังสือ“สาธิต”แจงยิบดีเอสไอ ปมคืนภาษี-โยก“ศุภกิจ”ลงบางรัก
เปิดหนังสือ“สาธิต”แจงยิบดีเอสไอ ปมคืนภาษี-โยก“ศุภกิจ”ลงบางรัก
เปิดหนังสือ“สาธิต รังคสิริ”แจงยิบอธิบดีดีเอสไอ ปมคืนภาษี 4.2พันล้าน ปัดเอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการ -แต่งตั้งซี 9 ลงพื้นที่บางรัก เรื่องปกติ ไม่ลัดขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงิน 4.2 พันล้านบาท ที่ นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ถึงทำนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา
พบว่ามีการระบุรายละเอียดไว้ดังนี้
“ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชน มีประเด็นที่พาดพิงถึง กรมสรรพากร กรณีมีการสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบและแนวทางปฏิบัติเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการให้ได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเร็วขึ้น และกรณีที่ได้ย้ายสรรพากรพื้นที่เข้ากรุงเทพฯ เป็นการลัดขั้นตอนประเพณีปฏิบัติในการเลื่อนลำดับนั้น
กรมสรรพากร ขอเรียนดังนี้
1. การปรับปรุงแนวทางปฏิบัติกรมสรรพากรที่ มก.9/2546 เรื่อง การพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ประกอบการทั่วไป และผู้ประกอบการที่ยื่นแบบคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร (ค.10) เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นเรื่องที่ทางสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี (มก.) เป็นผู้เสนอเรื่องมาตามลำดับขั้นตอนปกติโดยผ่านการพิจารณาของผู้อำนวยการสำนัก รองอธิบดีหรือที่ปรึกษาที่กำกับดูแลในขณะนั้น สำหรับเหตุผลในการแก้ไข แนวทางปฏิบัติดังกล่าว มีดังต่อไปนี้
1.1 กรณีแก้ไขข้อความในข้อ 3 (3) (3.2) ของ มก.9/2546 จาก “กลุ่มผู้ประกอบการส่งออกให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้” เป็น “กลุ่มผู้ประกอบการส่งออกให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทันที” ขอเรียนว่า ข้อความดังกล่าว มีความหมายเหมือนกันทุกประการ คือ กลุ่มผู้ประกอบการส่งออก ที่ไม่ติดเกณฑ์ที่ต้องส่งตรวจก่อนคืนและไม่มีข้อมูลชัดแจ้งว่า ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องให้คืนภาษีได้ทันที การแก้ไขข้อความในระเบียบใหม่ เป็นเพียงการปรับภาษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
อีกทั้ง ในข้อ 3 (2) ของแนวทางปฏิบัติเดิมได้ใช้ข้อความว่า “คืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทันที” การปรับเปลี่ยนข้อความในข้อ 3(3) (3.6) เป็น “กลุ่มผู้ประกอบการส่งออกให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทันที” ก็เพื่อปรับปรุงข้อความให้มีความสอดคล้องกันทั้งหมดด้วย
1.2 กรณีการตรวจสภาพกิจการตามแนวทางปฏิบัติฯ เดิม จะต้องมีการตรวจสถานประกอบการทุกครั้งที่มีการแจ้งย้ายสถานประกอบการ แต่ตามแนวทางปฏิบัติฯ ใหม่ แก้ไขเป็นว่า หากเป็นรายที่เคยถูกตรวจสภาพกิจการแล้วให้วินิจฉัยการขอคืนได้ตามข้อ 3 (3) (3.3) ข นั้น ขอเรียนว่า กรมสรรพากรได้มีการแบ่งผู้ประกอบการเป็น “กลุ่มดี” และ “กลุ่มเสี่ยง” ซึ่งหากผู้ขอคืนภาษีที่เป็นกลุ่มเสี่ยงย้ายมาอยู่ในท้องที่ใหม่ และยังไม่เคยถูกตรวจสภาพกิจการ หรือไม่เคยถูกตรวจใดๆ จากท้องที่ใหม่ จะต้องถูกตรวจสภาพกิจการก่อนที่จะคืนภาษี ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่เหมือนกันทั้งในแนวทางปฏิบัติฯ เดิมและใหม่
สำหรับกลุ่มดี ในแนวทางปฏิบัติใหม่ หากกลุ่มดีย้ายมาอยู่ท้องที่ใหม่ให้ยกเว้นการตรวจสภาพกิจการ เนื่องจากผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มดีต้องผ่านการตรวจสอบมาแล้วหลายประเด็น เช่น ผ่านการ ตรวจสภาพกิจแล้วพบว่ามีการประกอบการจริง มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือสูง ชำระภาษีเหมาะสม ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำอีก เว้นแต่พบข้อมูลผิดปกติ
1.3 กรณีที่กล่าวว่า “ให้คืนได้ทันที เมื่อผลการตรวจไม่พบประเด็นความผิด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือน ซึ่งเป็นการขัดกับแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม” นั้น ขอเรียนว่า การให้คืนภาษีได้ เมื่อผลการตรวจไม่พบประเด็นความผิด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือน นั้น มิได้ขัดกับแนวทางปฏิบัติแต่อย่างใด
ในแนวทางปฏิบัติฯข้อ 3(3) (3.3) ก กำหนดว่า ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ขอคืนภาษีในเดือนภาษีแรก ให้ส่งทีมกำกับดูแลดำเนินการตรวจสอบเดือนภาษีแรก และให้ชะลอการคืนภาษีของเดือนภาษีอื่นๆ ในช่วง 6 เดือนภาษีแรกไว้ก่อน เพื่อใช้ผลการตรวจดังกล่าว ในการพิจารณาคืนภาษีในเดือนอื่นๆ ที่ได้ชะลอไว้ หมายความว่า หากเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ให้ชะลอการคืนภาษีในช่วง 6 เดือนแรกไว้เพื่อรอผลการตรวจการคืนภาษีในเดือนแรกก่อน หากผลการตรวจภาษีในเดือนแรกเสร็จเมื่อใด ก็ให้นำผลการตรวจของเดือนภาษีแรกไปใช้ในการพิจารณาคืนภาษีในเดือนอื่นๆ ด้วย ซึ่งหากผลการตรวจในเดือนภาษีแรกแล้วเสร็จก่อน 6 เดือนและไม่พบประเด็นความผิด เจ้าหน้าที่สามารถคืนภาษีได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือนแต่อย่างใด
และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้เสนอแก้ไขแนวทางปฏิบัติฯ ได้รับการยืนยันว่า การแก้ไขดังกล่าวมิได้เป็นการลดความเข้มข้นในการตรวจคืน หรือมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งคืนภาษีโดยเอื้อประโยชน์ในทางมิชอบให้แก่ผู้เสียภาษีแต่อย่างใด
2.เรื่องการย้ายบุคลากรมาอยู่ในตำแหน่งพื้นที่สำคัญและเป็นการลัดขั้นตอนประเพณีปฏิบัติในการเลื่อนลำดับพื้นที่การบริหาร นั้น ขอเรียนว่า สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 (นายศุภกิจ ริยะการ 7) เคยดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่ในต่างจังหวัดหวัด (สรรพากรพื้นที่หนองคาย และสรรพากรพื้นที่ขอนแก่น) รวมระยะเวลากว่า 7 ปี และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสรรพากรพื้นที่เกษียณอายุราชการประมาณร้อยละ 70 การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายจึงเป็นเรื่องปกติ
สรรพากรในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครได้แบ่งออกเป็น 30 พื้นที่ย่อยแต่ละพื้นที่มิได้มีเขตดูแลที่ใหญ่กว่าต่างจังหวัด และในทางปฏิบัติก็มีข้าราชการระดับเชี่ยวชาญ (9 ชช.) ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานครในปีแรกเลย โดยที่มิได้ผ่านการทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัดมาก่อน ดังนั้น การโยกย้ายข้าราชการรายดังกล่าวจึงมิได้เป็นการลัดขั้นตอนประเพณีปฏิบัติแต่อย่างใด
3.สำหรับประเด็นอื่นๆ ที่ได้พาดพิงตามที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ เป็นเรื่องที่คณะกรรมารสืบหาข้อเท็จจริงของกรมสรรพากรจะต้องหาคำตอบเพราะเป็นเรื่องทางปฏิบัติ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วยผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (นายสุทธิชัย สังขมณี) เป็นประธาน สรรพากรภาค ผู้อำนวยการสำนักที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีการประชุม เพื่อหาข้อเท็จจริงสัปดาห์ละหลายวัน คาดว่าจะมีผลสรุป ได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2556 นี้ ซึ่งเมื่อได้ผลสรุปแล้ว จะส่งผลสรุปทั้งหมดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ใช้ประกอบการพิจารณาต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อใช้ประกอบการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
นายสาธิต รังคสิริ
อธิบดีกรมสรรพากร