“คณิต ณ นคร” เปิดใจ เหตุผลที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องวางมือ
-ส่วนหนึ่ง “สารประธาน คอป.” ที่นายคณิต ณ นคร ประธาน คอป.เขียนเพื่อแจกจ่าย ระหว่างการแถลงข่าวเปิดเผยรายงาน คอป.ฉบับสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา
โดยนายคณิตได้ไล่เรียงหลักการและเหตุผลในการทำงานของ คอป. รวมถึงเหตุผลว่า ทำไม “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ต้องวางมือ บ้านเมืองถึงจะสงบ ที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟังเหตุผลจากเจ้าของข้อเสนอ

การยอมรับเป็นประธาน คอป.
เมื่อรัฐบาลซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปพบข้าพเจ้าเพื่อทาบทามข้าพเจ้าให้รับหน้าที่ตรวจสอบการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ นั้น ข้าพเจ้าได้คิดทบทวนอยู่นานตามสมควรว่าจะรับภาระอันหนักหน่วงนี้หรือไม่ เพราะข้าพเจ้าเคยจำ เป็นต้องยอมรับเป็นกรรมการผู้หนึ่งในการตรวจสอบเกี่ยวกับความรุนแรงทำนองนี้มาก่อน คือ
เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร และรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน และเมื่อครั้งเหตุการณ์เกี่ยวกับการเสียชีวิตของคนจำนวนมากจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษในสมัย
รัฐบาล พ.ต.ท.โททักษิณ ชินวัตร โดยในครั้งหลังนี้รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้แต่งตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๕๕๐
แต่ในที่สุดด้วยเหตุผลนานาประการ รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ได้โทรศัพท์ไปขอให้ข้าพเจ้าช่วยรับงานดังกล่าวนี้ด้วยตนเองด้วย ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งสำหรับส่วนรวมและประเทศชาติดังกล่าวนี้
ในการทำงานเกี่ยวกับการตรวจสอบความรุนแรงอันเกิดจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ นั้น ข้าพเจ้าได้ยืนยันกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ส่งมาทาบทามข้าพเจ้าว่า หากข้าพเจ้าจำเป็นต้องทำงานนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเพื่อหาคนผิด เพราะการตรวจสอบเพื่อหาคนผิด เป็นภารกิจของกระบวนการยุติธรรมของรัฐอยู่แล้ว
การตรวจสอบของกระบวนการยุติธรรมกับการตรวจสอบของ คอป.
ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นว่าในการทำงานตรวจสอบของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะไม่ตรวจสอบเพื่อหาคนผิด เพราะการตรวจสอบเพื่อหาคนผิดเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ในที่นี้จึงเห็นควรทำความเข้าใจถึงการตรวจสอบของกระบวนการยุติธรรมและการตรวจสอบของ คอป. เสียก่อน
ในการตรวจสอบความจริงของกระบวนการยุติธรรมนั้น เจ้าพนักงานขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมของรัฐจะทำการตรวจสอบว่ามีการกระทำความผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่ ถ้ามีใครเป็นผู้กระทำความผิด และมีพยานหลักฐานที่จะบ่งชี้ถึงความผิดและผู้กระทำความผิดอย่างไรบ้างหรือไม่ ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมของรัฐได้ทำการตรวจสอบจนสิ้นกระแสความแล้ว เจ้าพนักงานขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมของรัฐก็จะสรุปสิ่งที่ตรวจสอบได้พร้อมวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและลงความเห็นในทางคดีว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการต่อไปในชั้นศาลกับบุคคลที่รู้จักชื่อหรือไม่รู้จักชื่อนั้นหรือไม่ตามขั้นตอน
แต่ในการตรวจสอบความจริงของ คอป. เป็นการตรวจสอบความจริงว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไรเพราะเหตุใด มีใครบ้างที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และมีเหตุผลในการเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ และจะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือไม่และโดยวิธีใด
การตรวจสอบความจริงของ คอป. บางส่วนอาจเป็นไปทำนองเดียวกับการตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป
การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายคือที่มาของอำนาจเผด็จการ
ก่อนหน้าที่จะเกิด คอป. ข้าพเจ้าในฐานะนักวิชาการได้เขียนบทความ เรื่อง “การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย” (ลงพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ ๒๐ – ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ และฉบับประจำวันที่ ๒๗ ตุลาคม – วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ และต่อมา บทความนี้ได้จัดพิมพ์ในหนังสือรวมบทความของข้าพเจ้าชื่อ หักดิบกฎหมาย จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์วิญญูชน มิถุนายน ๒๕๔๙ หน้า ๑๒ – ๓๕) โดยในบทความดังกล่าวข้าพเจ้า เปรียบเทียบผลของ “คดีซุกหุ้น” อันมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ถูกกล่าวหา กับผลของ “คดีกบฏ” อันมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการคู่ประวัติศาสตร์โลกเป็นจำเลย ซึ่งคดีทั้งสองเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมของทั้งสองประเทศ
อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ เป็นคนออสเตรีย เกิดเมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๙ ด้วยความคิดเชื้อชาตินิยม เขาได้เข้าไปอยู่ในเมืองมิวนิค รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมันในปี ค.ศ. ๑๙๑๓ ในสงครามโลก ครั้งที่ ๑ เขาได้เป็นทหารในกองทัพบาวาเรีย เขาได้แสดงวีรกรรมในการรบจนได้รับเหรียญตราแห่งความกล้าหาญ ในปี ค.ศ. ๑๙๒๓ เขาได้ก่อรัฐประหารในบาวาเรียเพื่อจะขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองในรัฐนี้แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงกลายเป็นกบฏและถูกศาลบาวาเรียพิพากษาจำคุก ตามกฎหมายเยอรมันในขณะนั้นคนต่างด้าวที่กระทำความผิดฐานกบฏ นอกจากจะต้องถูกพิพากษาลงโทษแล้วศาลต้องพิพากษาให้เนรเทศออกไปนอกอาณาจักรเยอรมันด้วย ซึ่งเมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วก็จะต้องถูกเนรเทศตามคำพิพากษา แต่ใน “คดีกบฏ” ที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ถูกฟ้องนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการเนรเทศ ศาลได้ให้เหตุผลว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดเป็นเยอรมันทั้งได้ประกอบคุณงามความดีให้แก่กองทัพบาวาเรียเยอรมัน ถือไม่ได้ว่าเป็นคนต่างด้าวและไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องพิพากษาให้เนรเทศ (ดู คณิต ณ นคร “ศาลรัฐธรรมนูญกับการตีความกฎหมาย” ในหนังสือรวมบทความชื่อ นิติธรรมอำพรางในนิติศาสตร์ไทย สำนักพิมพ์วิญญูชน กันยายน ๒๕๔๘ หน้า ๔๙ – ๕๕)
ในการเปรียบเทียบระหว่างคดีทั้งสองนั้น ข้าพเจ้าได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับ “คดีกบฏ” ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ความว่า
“หากผู้พิพากษาใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลี่ยงบาลีแล้ว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็จะถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดินเยอรมันหลังจากพ้นโทษ ซึ่งจะทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ไม่มีโอกาสที่จะฉีกรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นใหญ่ และเมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่อาจฉีกรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นใหญ่ได้ สงครามโลกครั้งที่สองก็จะไม่เกิดขึ้น และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองไม่เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนก็จะไม่ล้มตายกันจำนวนมาก และที่สำคัญคนยิวก็จะไม่ถูกฆ่าทิ้งเป็นล้าน ๆ คน”
ข้อสรุปดังกล่าวมานี้แท้จริงเป็นข้อสรุปในบทความของศาสตราจารย์เยอรมัน ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้อ่านพบในขณะที่กำลังศึกษากฎหมายโดยทุนรัฐบาลตามความต้องการของกรมอัยการ (ปัจจุบัน คือ สำนักงานอัยการสูงสุด) ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีระหว่าง ปี ๒๕๑๑ – ๒๕๒๐
สรุปว่า นี่คือพิษสงของนักเผด็จการที่สามารถส่งแนวความคิดในทางเผด็จการ เข้าไปสู่บุคคลในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
และข้าพเจ้าได้สรุปเกี่ยวกับ “คดีซุกหุ้น” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ความว่า
“หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นทุกคนยึดหลักกฎหมายแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี และโดยเฉพาะการฆ่าคนทิ้งเป็นพัน ๆ คนโดยอ้างเรื่องยาเสพติดก็คงจะไม่เกิดขึ้น รวมทั้งการตายที่กรือเซะและตากใบด้วย และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ชัดเจนจนเกิดทางตันทำท่าว่าจะเกิดการฆ่ากันอีกครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็คงจะไม่เกิดขึ้น”
ข้าพเจ้าได้เขียนบทความเรื่อง “การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย” โดยข้าพเจ้าหารู้ ไม่ว่าจะต้องมาทำหน้าที่อันหนักหน่วงยิ่งนี้ในเวลาต่อมา ที่ว่าหนักหน่วงยิ่งก็เพราะว่า สถานการณ์ของความขัดแย้งยังไม่ยุติ กล่าวคือ เป็นการทำงานท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำรงอยู่ ซึ่งแตกต่างจากการทำงานเกี่ยวกับความขัดแย้งในปี ๒๕๓๕
การแสวงหาความมั่นคงในชีวิต การแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่ง
ข้าพเจ้าคิดว่าเราทุกคนคงมีความเห็นทำนองเดียวกับข้าพเจ้าว่ามนุษย์เราทุกคนต้องการแสวงหาความมั่นคงในชีวิต ข้อนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามและข้าพเจ้ามีความเห็นและข้อสังเกตจากประสบการณ์ของข้าพเจ้าเองต่อไปว่า ควบคู่กับการแสวงหาความมั่นคงในชีวิต มนุษย์บางคนอาจกระทำควบคู่กับการแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่ง ข้อนี้ในความเห็นของข้าพเจ้าก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์เช่นกัน
เป็นที่แน่นอนและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจทางการเมือง นักการเมืองจึงเป็นผู้ที่แสวงหาอำนาจทางการเมือง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากระบบการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจทางการเมืองของนักการเมืองไม่มีประสิทธิภาพดีพอนักการเมืองก็จะแสวงหาความมั่งคั่งต่อไปโดยอ้างถึงอุดมการณ์ ข้อนี้จึงดูจะตรงกับการเมืองในประเทศที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยดีพออย่างประเทศไทยเรา
สังคมไทยยึดคนมากกว่าหลัก
การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายที่ได้เกิดขึ้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าได้เกิดขึ้นจากกระบวนการทางสังคมของประเทศไทยเราที่ดูจะยึดคนมากกว่าหลัก และปรากฏการณ์เช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในสังคมในระบบอุปถัมภ์และในสังคมที่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศยังขาดประสิทธิภาพ เพราะสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยในประเทศประชาธิปไตยที่มีกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ เช่น ในประเทศญี่ปุ่นที่กระบวนการยุติธรรมของเขาสามารถจัดการกับนายทานากะอดีตนายกรัฐมนตรีในคดีทุจริตในกรณีลอคฮีตจนศาลพิพากษาให้จำคุก และต่อมารัฐมนตรีเกษตรของญี่ปุ่นซึ่งถูกกล่าวหาว่าทุจริตต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน หรือเช่น ในประเทศเกาหลีที่อดีตประธานาธิบดีที่ต้องสงสัยว่าทุจริตในขณะอยู่ในตำแหน่งต้องกระโดดหน้าผาตายเพื่อหนีคดี
ในบทความเรื่อง “การบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย” ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวส่งท้ายว่า กระแสสังคมในประเทศไทยเราในระหว่างการดำเนิน “คดีซุกหุ้น” เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมากจนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเกิดความหวั่นไหวเลยทีเดียว ท่านผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของบ้านเมืองบางท่านและเป็นที่เคารพนับถือของคนในสังคมก็เข้าใจผิดในพฤติกรรมของบุคคล (เช่น กล่าวถึง พ.ต.ท.โททักษิณ ชินวัตร ว่าเป็น “อัศวินควายดำ”) และให้การสนับสนุนบุคคลโดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมายอันเป็นหลักของบ้านเมือง
บัดนี้ ท่านผู้ใหญ่ดังกล่าวน่าจะมีความเสียใจอยู่ไม่น้อยเลยที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า “คดีซุกหุ้น” เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมากจนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเกิดความหวั่นไหวเลยทีเดียวนั้น จะเห็นได้จากคำกล่าวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน
การขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช ๒๕๔๐) ประกาศใช้บังคับแล้วได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๓ ครั้ง
การเลือกตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔ ซึ่งมีที่นั่งในรัฐสภา ๕๐๐ ที่นั่ง และพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับหนึ่งโดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดจำนวน ๒๔๘ เสียง และหลังจากมีการเลือกตั้งใหม่ในบางเขตเป็นผลให้พรรคไทยรักไทยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นเป็น ๒๕๑ เสียง พรรคไทยรักไทยจึงได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสมโดยมีพรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคความหวังใหม่ ๓๕ เสียง พรรคชาติพัฒนา ๒๘ เสียง และพรรคเสรีธรรม ๑๔ เสียง รวม ๓๒๘ เสียง
ณ จุดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าการเติบโตของพรรคไทยรักไทยและพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศไทยเรายังคงเป็นการเติบโตไปตามปกติตามธรรมชาติ และในการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้ได้มีการนำเอานโยบายมาต่อสู้กันในสนามการเลือกตั้ง สำหรับพรรคไทยรักไทยก็มีนโยบายเป็นตัวนำที่ทำให้พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่มีความเติบโตอย่างน่าชื่นชมอย่างยิ่ง ปรากฎการณ์นี้ข้าพเจ้าเห็นว่าสอดรับกับการปฏิรูปการเมืองซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกดังกล่าวมาแล้วทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการบริหารประเทศของรัฐบาลผสมซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการดำเนินการควบรวมสมาชิกจากพรรคการเมืองต่างๆ ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม พรรคเสรีธรรมและพรรคเอกภาพ เข้ากับพรรคไทยรักไทย
การเลือกตั้งครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ และในการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากพรรคไทยรักไทยได้ควบรวมสมาชิกพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม พรรคเสรีธรรมและพรรคเอกภาพเข้ากับพรรคไทยรักไทยแล้ว การควบรวมสมาชิกพรรคการเมืองต่าง ๆ เช่นนี้ทำให้การเติบโตของพรรคไทยรักไทยกลายเป็นการเติบโตจากภายนอก (External Growth) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเข็มมุ่งของพรรคไทยรักไทยที่สื่อไปในทางการเป็นเผด็จการโดยพรรคเดียว ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการไม่ส่งเสริมระบบการตรวจสอบและไม่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยอีกด้วย เพราะประชาธิปไตยเป็นการปกครองด้วยเสียงข้างมากก็จริงอยู่แต่ก็ต้องเคารพเสียงข้างน้อยด้วย เข็มมุ่งของการเติบโตของพรรคไทยรักไทยเช่นนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการเติบโตที่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยหลังการปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงว่าสังคมไทยเรานั้น ยังมีความอ่อนแอในด้าน “การตั้งรังเกียจทางสังคม” (Social Sanction) อยู่มาก (ดู บทความของข้าพเจ้าเรื่อง “ประชาธิปไตยกับการตั้งรังเกียจทางสังคม” ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ ๔ – ๑๐ ฉบับประจำวันที่ ๑๑ – ๑๗ ฉบับประจำวันที่ ๑๘ – ๒๔ และฉบับประจำวันที่ ๒๕ –๓๑ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕)
ในการเลือกตั้งครั้งที่สองนี้พรรคไทยรักไทยซึ่งได้มีการควบรวมพรรคการเมืองต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างผิดหลักการแห่งประชาธิปไตยดังกล่าวแล้วข้างต้น แม้จะได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรอย่างท่วมท้นถึง ๓๗๕ เสียง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้โดยมีนายกรัฐมนตรีคนเดิม และแม้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีพรรคเดียวบริหารประเทศ ข้าพเจ้าก็เห็นว่าหาใช่ความชอบธรรมตามหลักการแห่งประชาธิปไตยแต่ประการใดไม่ การเกิดการชุมนุมสาธารณะขึ้นจึงเป็นการแสดงให้เห็นถึง “การตั้งรังเกียจทางสังคม” (Social Sanction) หรือ “การตั้งรังเกียจทางการเมือง” สิ่งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการเกิดขึ้นโดย “เหตุผลของเรื่อง” (Nature of Thing)
พฤติกรรมของความไม่ชอบธรรมตามหลักการแห่งประชาธิปไตยจนเกิด “การตั้งรังเกียจทางสังคม” (Social Sanction) หรือ “การตั้งข้อรังเกียจทางการเมือง” ดังกล่าวมา ข้างต้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามีผลเท่ากับเป็นฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อการเป็นเผด็จการทำนองเดียวกับการออก “กฎหมายว่าด้วยการมอบอำนาจ” (Ermächtigunsgesetz / Enabling Act) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทีเดียว
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองจึงยิ่งมีอำนาจเด็ดขาดยิ่งขึ้นไปอีก และนายกรัฐมนตรี จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ก็ได้แสดงอำนาจเด็ดขาดอย่างสุด ๆ เช่น มีการออกกฎหมายก่อการร้ายโดยพระราชกำหนด อันเป็นการออกกฎหมายที่ไม่ถูกหลักการแห่งประชาธิปไตย ซ้ำร้ายกฎหมายก่อการร้ายยังฝ่าฝืนหลักประกันของกฎหมายอาญา หรือหลัก Nullum crimen nulla poena sine lege ในข้อความชัดเจนแน่นอนของกฎหมาย และกฎหมายก่อการร้ายนี้ยังฝ่าฝืนหลักนิติธรรมอีกด้วยจน คอป. ต้องมีข้อเสนอแนะให้ยกเลิกกฎหมายก่อการร้ายแล้วให้คิดบัญญัติกันใหม่ (ดู ข้อเสนอแนะของ คอป. เกี่ยวกับกฎหมายก่อการร้าย ตามหนังสือ คอป. ด่วนที่สุด ที่ คอป. ๒๕๔/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และบทความเรื่อง “การก่อการร้าย” ท้ายหนังสือฉบับนี้)
อย่างไรก็ตาม หลังจากบริหารประเทศมาได้ไม่นานนัก ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ก็ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร โดยมีคำปรารภว่า
“เนื่องจากได้เกิดการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อรังเกียจในทางการเมืองขึ้น ซึ่งแม้ระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เมื่อนานวันเข้าการชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ครั้นใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือแม้แต่รัฐบาลได้พยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาแล้ว ก็ยังไม่
อาจแก้ไขปัญหาและความคิดเห็นพื้นฐานที่แตกต่างกันทั้งระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับรัฐบาล และระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยและประสงค์จะเคลื่อนไหวบ้างจนเกิดปะทะกันได้ สภาพเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยเฉพาะในขณะนี้ ซึ่งควรจะสร้างความสามัคคีปรองดอง การดูแลรักษาสภาพของบ้านเมืองที่สงบร่มเย็นอยู่อาศัยน่าลงทุน และการเผยแพร่ความวิจิตรอลังการ ตลอดจนความดีงามตามแบบฉบับของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความคิดเห็นในสังคมที่หลากหลายและยังคงแตกต่างกันจนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเช่นนี้ ครั้นจะดำเนินการเพื่อตรวจสอบความประสงค์อันแท้จริงของประชาชนโดยประการอื่นเพื่อให้ทุกฝ่ายหยั่งทราบแล้วยอมรับให้เป็นไปตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยก็ทำได้ยากทางออกในระบอบประชาธิปไตยที่เคยปฏิบัติมาในนานาประเทศ และแม้แต่ในประเทศไทย คือการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกลับไปสู่ประชาชนด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปขึ้นใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป”
และพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙
เหตุอันเนื่องมาจากนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ และเหตุอันเนื่องจากเกิดการประท้วงการเผด็จการทางรัฐสภา ทำ ให้เกิดการเมืองบนท้องถนน ในที่สุดเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้วศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินให้การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นโมฆะ จึงทำให้ต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่อีกครั้ง โดยกำหนดในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙ จนนำ ไปสู่การยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
แม้ถึงว่าข้าพเจ้าจะไม่เห็นพ้องด้วยกับการยึดอำนาจรัฐไม่ว่าในครั้งใด แต่เผด็จการทางรัฐสภากับเผด็จการทหารดูจะไม่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเผด็จการทั้งสองรูปแบบต่างทำลายการพัฒนาประชาธิปไตยด้วยกันทั้งสิ้น
สรุปว่า การที่สังคมเรายึดคนมากกว่าหลักนั้น เป็นที่มาของความรุนแรงครั้งนี้ที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ เหตุนี้ คอป. จึงได้ยืนยันให้มีการตรวจสอบ “คดีซุกหุ้น” ให้กระจ่าง
(หลังจากนั้น นายคณิตได้ไล่เรียงเหตุการณ์สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เขาเห็นว่าเป็นความผิดพลาด ทั้งการยุบ พตท. ๔๓ และ ศอ.บต. การทำให้คนจำนวนมากถึงแก่ความตายเกี่ยวเนื่องกับนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ การเสียชีวิตที่กรือเซะ การถึงแก่ความตายในกรณีเกี่ยวกับการชุมนุมที่ตากใบ การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การเกิดระบบ “ซีอีโอ” ในระบบราชการไทย ฯลฯ)
การสะสางรากเหง้าของการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย
เมื่อเหตุการณ์อันเป็นผลจากการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายเป็นเช่นที่กล่าวมา กรณีจึงต้องสะสางรากเหง้าของการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ซึ่งอย่างน้อยต้องตรวจสอบกรณีต่อไปนี้ คือ
- ต้องตรวจสอบความจริง “คดีซุกหุ้น” ให้เป็นที่กระจ่าง
- ต้องตรวจสอบความจริงต่อไปจากที่ คตน. ได้ทำไว้
- ต้องตรวจสอบความจริงของการฆ่าที่มัสยิดกรือเซะ
- ต้องตรวจสอบความจริงของเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับการตายกรณีตากใบ
การทุจริตที่เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ
กล่าวได้ว่าสังคมไทยไม่ยอมรับการยึดอำนาจการปกครองประเทศมานานแล้วและในการยึดอำนาจการปกครองประเทศแต่ละครั้งรวมทั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ได้มีการกล่าวอ้างเรื่องการทุจริตเป็นเหตุผลหนึ่งเสมอ ในครั้งล่าสุดนี้ก็ได้มีการอ้างถึงการทุจริตที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความกระจ่างชัดใดๆ ต่อสาธารณะ กรณีเป็นเรื่องที่ขัดขวางต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ารัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมของประเทศจำต้องทำความจริงข้อนี้ให้ปรากฏด้วย
บทสรุปและเสนอแนะ
แม้ข้าพเจ้าและ คอป. จะได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ให้ความเชื่อถือว่าจะเป็นผู้ที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศชาติได้ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอเสนอดังต่อไปนี้
(๑) การที่จะให้บ้านเมืองมีความสงบและมีสันติได้นั้น ข้าพเจ้าในฐานะประธาน คอป. เห็นว่าขึ้นอยู่กับความเสียสละของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องยุติบทบาททางการเมืองของตน
(๒) รัฐบาลต้องทำให้เรื่องการหักดิบกฎหมายมีความกระจ่างชัดโดยกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เพื่อลบความเคลือบแคลงและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีความสุจริตในเรื่องดังกล่าว
(๓) ขณะนี้ได้มีตัวแทนของ นชป. ไปร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ให้ดำเนินการกับเหตุการณ์การเสียชีวิตในความรุนแรงระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ แล้ว ซึ่งศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับดำเนินการหรือไม่ก็ตาม แต่เรื่องที่ คตน. ตรวจสอบและลงความเห็นว่า น่าเชื่อว่าได้มี “ความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (Crime against Humanity) เกิดขึ้นจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษและการนำนโยบายไปปฏิบัติจนทำให้การสูญเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมากในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ตราบเท่าที่รัฐบาลไทยไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการให้สัตยาบันต่อ “ธรรมนูญแห่งกรุงโรม” (Rome Statute of International Criminal Court) หากกระบวนการของศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามาดำเนินการเสียเองก็จะทำให้ ประเทศไทยต้องสูญเสียเกียรติภูมิ สิ่งนี้คือข้อพิสูจน์ที่จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ถึงความรักชาติของรัฐบาลปัจจุบันที่ถูกมองว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังการสะสางเรื่องที่ คตน. ได้สรุปไว้ใน “รายงานการศึกษาเบื้องต้น” จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่จะต้องกระทำ
(๔) นักการเมืองไทยและเจ้าพนักงานของรัฐเราจำนวนไม่น้อยที่หลบหนีกระบวนการยุติธรรมไปอยู่ต่างประเทศในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต การหลบหนีไปนั้นมีทั้งหลบหนีระหว่างคดีและหลังจากศาลพิพากษาลงโทษแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่ามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สังกัดกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่งถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ก็ได้หลบหนีไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและไม่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแต่อย่างใดด้วย กรณีนี้ จึงไม่ได้ตัวมาบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาล จนบัดนี้คดีขาดอายุความแล้ว รัฐบาลจึงต้องตระหนักถึงข้อนี้
(๕) โดยที่การทุจริตหรือคอร์รับชั่นในปัจจุบันเป็นเรื่องในระดับนานาประเทศสองสามีภริยา คือ Gerald and Patricia Green เศรษฐีอเมริกันซึ่งทำการทุจริตร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ถูกศาลอเมริกันพิพากษาลงโทษไปแล้วแต่หัวหน้าหน่วยงานของไทยเรายังสบายดีอยู่ บัดนี้ปรากฎข่าวในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post, Saturday 4, 2012 (ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๕) ว่ารัฐบาลอเมริกันได้ขอให้ส่งตัวอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวและบุตรสาวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีในสหรัฐอเมริกาแล้ว กรณีจึงชอบที่จะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างเร่งด่วน และทำความชัดเจนว่าในกรณีทำนองนี้แท้จริงเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐ หรือเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. เพราะกรณีอาจเป็นปัญหาข้อกฎหมายหากประเทศไทยเราไม่ส่งตัวไปให้ต่างประเทศดำเนินการ
(๖) ในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้น บางทีอาจต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ศาลไทยเราสามารถดำเนินคดีตามหลัก “การพิจารณาโดยไม่มีตัวจำเลย” (Trial in absentia) ในคดีบางประเภทที่สำคัญ ได้ เช่น คดีความผิดเกี่ยวกับคอร์รับชั่น คดีความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย เป็นต้น
