“โหมเพลิง” หรือ “ดับไฟ” บทบาทสื่อไทย ต่อ “สันติภาพ” ในภาคใต้ ?
(ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์)
สื่อไทยมักตกเป็นจำเลยหลายต่อหลายครั้ง ในการนำเสนอข่าวความไม่สงบในภาคใต้ บ้างโทษว่าสื่อนำเสนอข่าวเกินจริง ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัว บ้างก็โทษว่าสื่อขัดขวางกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสันติ เน้นเสนอข่าวบึ้ม-ยิง-ป่วน-ตาย ทำข่าวใต้แบบข่าวอาชญากรรม ไม่พยายามเข้าใจรากเหง้าของปัญหา ฯลฯ
ในห้วงเวลานี้ ขณะที่ตัวแทนรัฐไทยเดินหน้าเปิดการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น สื่อไทยก็ถูกตั้งคำถามอีกเช่นกันว่า จะเข้ามามี “บทบาท” ในการสร้างสันติสุขในพื้นที่ปลายด้ามขวานได้อย่างไร
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (4 เม.ย.2556) ก็มีงานเสวนาหนึ่งที่พยายามจะหา “คำตอบ” ต่อ “คำถาม” ดังกล่าว ได้แก่งาน “ราชดำเนินสนทนา ครั้งที่ 1 : ดับเพลิงหรือโหมไฟ สื่อไทยกับการรายงานข่าว 3 จังหวัดชายแดนใต้ - ความท้าทายของคนทำข่าว” ซึ่งจัดโดยกอง บ.ก.จุลสารราชดำเนิน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
โดยผู้ร่วมสนทนาต่างเป็นคนข่าวที่คลุกคลีกับข่าวภาคใต้มายาวนาน ทั้ง “ปกรณ์ พึ่งเนตร” บ.ก.ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา “มนตรี อุดมพงษ์” ผู้สื่อข่าวจากรายการข่าวสามมิติ และ “บุญระดม จิตรดอน” ผู้สื่อข่าวอาวุโสด้านความมั่นคง ประจำทำเนียบรัฐบาล มี “เสถียร วิริยะพรรณพงศา” ผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนแนล เป็นผู้ชักชวนสนทนา
-----
ช่วงเริ่มต้น เป็นการชวนพูดคุยประเมินสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ หลังกระบวนการพูดคุยสันติภาพของรัฐไทยกำลังเดินหน้า
“มนตรี” กล่าวว่า สถานการณ์ในภาคใต้ ยังไม่สามารถเรียกว่าเข้าโหมดสันติภาพได้ เพราะความเข้าใจรากเหง้าของปัญหาในพื้นที่ยังอีกยาวไกล แต่การเดินหน้าพูดคุยกับแนวร่วมถือเป็นความพยายามในการยกรถไฟขึ้นมาสู่ราง ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือเราไม่รู้ว่ารางนี้จะพาไปทางไหน
“บุญระดม” กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบคือการแบ่งแยกดินแดง และการก่อเหตุรุนแรงต่างๆ เพื่อแย่งชิงมวลชน ซึ่งการเปิดโต๊ะเจรจา ตนอยากให้ระวังว่าอาจไปเข้าทางกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ทั้งนี้ ส่วนตัวยังมองว่า รัฐบาลขาดแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ที่ชัดเจน และไม่จริงใจ แต่ไปเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ทางการเมือง
“ปกรณ์” กล่าวว่า หลายคนในกองทัพภาคที่ 4 ไม่เห็นด้วยกับการเจรจา เพราะเขากำลังทำโครงการพาคนกลับบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นพอกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจับจุดนี้ได้ ก็เริ่มโจมตีทหารหนักขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจต้องการล้มโต๊ะเจรจา เพราะคนที่ต่อสู้จริงๆ คือชาวบ้านในพื้นที่ ไม่ใช่ฮัสซัน ตอยิบ (คนที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น) ที่มีบ้านอยู่มาเลเซีย นอกจากนี้ ขณะนี้มาเลเซียอยู่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง จึงสงสัยว่า การพูดคุยครั้งต่อไป ในวันที่ 28 เม.ย.นี้จะเกิดขึ้นหรือไม่
ช่วงต่อมา วงสนทนาก็ไปสู่การสะท้อนถึงปัญหาและอุปสรรคในการทำข่าวความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดย “บุญระดม” ตั้งคำถามถึงกรณีที่รายการข่าว 3 มิติ ไปสัมภาษณ์ “กัสตูรี มาห์โกตา” ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นแกนนำกลุ่มพูโล โดยเธอมองว่า กลุ่มก่อความไม่สงบมี 2 ยุทธวิธีหลักๆ ด้านหนึ่งคือยุทธวิธีก่อเหตุรุนแรง อีกด้านคือยุทธวิธีเปิดสงครามข่าวสาร ดังนั้นการนำเสนอข่าวอะไร ควรจะระมัดระวังไม่ให้ไปเข้าทาง หรือไปขยายแนวคิดของคนเหล่านั้น
“มนตรี” กล่าวชี้แจงในฐานะผู้สัมภาษณ์กัสตูรีชี้แจงว่า หลักการทำข่าวทั่วไปก็ควรนำเสนอทั้ง 2 ด้าน คือเราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเขา ขนาดบางทีเราเห็นคนร้ายฆ่าคนเป็นๆ เรายังต้องถามเขาเลยว่า ฆ่าทำไม เขาจะปฏิเสธอย่างไรก็ว่ามา แต่อย่างน้อยๆ ได้ตอบคำถามว่า ที่ผ่านมาเราเข้าใจเขาแค่ไหน
“ในบางเหตุการณ์ เราต้องคำนึงด้วยว่า ถ้าเราไม่นำเสนอ ปิดข่าว ก็จะถูกชาวบ้านตั้งคำถาม ส่วนตัวจึงเห็นว่าควรจะเสนอข่าวไปตามข้อเท็จจริง” คนข่าวทีวีรายนี้กล่าว
“ปกรณ์” เสริมว่า ฝ่ายความมั่นคงชอบโทษสื่อว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ถ้าหลายสิบปีก่อนอาจจะใช่ แต่สมัยนี้มันมีสื่อหลากหลายช่องทาง มีฟรีทีวีอยู่ช่องหนึ่งไม่นำเสนอข่าวเหตุรุนแรงในภาคใต้เลย ถามว่าแล้วมันสงบไหม แล้วถามว่าเคยมีงานวิจัยสักชิ้นไหมว่า หากสื่อไม่เสนอข่าวรุนแรงแล้วเหตุการณ์จะสงบ ถ้ามี ตนยินดีไม่เสนอข่าว 1 ปีเลยก็ได้ ที่สำคัญรัฐชอบหาว่าสื่อยอมให้โจรใช้อย่างเดียว อยากถามกลับว่าแล้วทำไมรัฐไม่ใช้บ้าง เพราะไม่มีใครห้าม แต่นี่รัฐชอบด่าสื่ออย่างเดียว
(จากซ้าย ปกรณ์ พึ่งเนตร - บุญระดม จิตรดอน - มนตรี อุดมพงษ์ - เสถียร วิริยะพรรณพงศา)
ช่วงท้าย มีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาได้ซักถาม
ถามว่า สิ่งที่สื่อควรระวังในการนำเสนอข่าวภาคใต้ ? และก่อนและหลังการเจรจาสันติภาพต้องปรับวิธีการทำงานหรือไม่
“ปกรณ์” กล่าวว่า ปกติก็ระวังอยู่แล้ว ตามจรรยาบรรณวิชาชีพและกฎหมาย นอกจากนี้ ควรจะเช็คข้อมูลให้แน่ใจก่อนนำเสนอ อย่างกรณีเรื่องปลดแบล็กลิสต์ 3 หมื่นรายชื่อ ทั้งๆ ที่คำนวณจริงๆ เต็มที่ก็น่าจะมีราว 8-9 พันรายชื่อ
“มนตรี” กล่าวว่า ข่าวลือมีผลต่อคนในพื้นที่ ขณะที่ข่าวออกทีวีมีผลต่อคนทั้งประเทศให้มากดดันรัฐบาล
ถามว่า หากต้องการจัดทำคู่มือการรายข่าวความไม่สงบภาคใต้ อะไรบ้างที่ควรระมัดระวัง ?
“มนตรี” กล่าวว่า คำว่าโจรใต้จะต้องไม่มี เพราะทำให้ความเกลียดชังบานปลายถึงมวลชน
ด้าน “ปกรณ์” กล่าวว่า ไม่ควรพาดหัวว่าโจรเพราะตามกฎหมาย ถึงจะถูกออกหมายจับก็ยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ไม่ได้แปลว่าเขาจะทำผิด รวมถึงไม่ควรใช้คำแบบเหมารวม เช่น ถ้ามีระเบิดตายอำเภอเดียวก็ไม่ควรใช้บึ้มทั้งจังหวัด อย่างเช่น บึ้มนราธิวาส เรื่องพวกนี้ละเอียดอ่อนมาก ถ้าลงพื้นที่จะรู้ บางเรื่องมันกระทบกับความรู้สึก
“บุญระดม” เสริมว่า สื่อควรทำความเข้าใจกับเรื่องในพื้นที่ เพราะสื่อเป็นตัวกลาง ถ้าสื่อยังไม่เข้าใจปัญหา สังคมก็ยากจะเข้าใจ และส่งผลให้ปัญหาไม่สามารถคลี่คลายได้
“ขณะเดียวกันสื่อไม่จำเป็นต้องขายกับสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งกระทบคนในพื้นที่ และสร้างปัญหาเข้าไปอีก ฉะนั้นต้องเข้าใจความรู้สึกคนเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่ต้องกลับไปคิด” นักข่าวสาวรายนี้กล่าวทิ้งท้าย