สิริพรรณ : เบื้องหลังวาทกรรมซื้อเสียง...ทำไมคนชนบทถึงเป็นผู้ร้าย?
“...ถ้าจะให้พูดเหน็บหน่อย พฤติกรรมพึ่งพานักการเมืองที่คนชนบทมี ชนชั้นกลางก็พึ่งพานักการเมืองและอำนาจรัฐเหมือนกัน ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมวาทกรรมเรื่องการซื้อเสียง ถึงมีคนชนบทเป็นผู้ร้ายอยู่คนเดียว แต่ชนชั้นกลางเป็นพระเอกเต็มไปหมด...”
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ประเทศไทยจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่แหลมคมในปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างก็หาความชอบธรรมตนเองผ่าน ‘มายาคติทางการเลือกตั้ง’ กันอย่างเอิกเกริก
ฝ่ายหนึ่งนำโดย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และผู้ชุมนุม “มวลมหาประชาชน” ที่แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าต้องมีการ “ปฏิรูป” ก่อนการเลือกตั้ง เพื่อขจัดปัญหาทุจริตในการเลือกตั้ง ปฏิรูปพรรคการเมือง
ด้านกลุ่มคนที่ต้องการการเลือกตั้งนั้น ต่างตั้งคำถามว่าปัญหา “ซื้อสิทธิ์-ขายเสียง” ยังคงมีอยู่จริงอีกหรือในสังคมไทย และคนชนบทที่ยากจน-ไร้การศึกษานั้น ไม่สิทธิ์ในการเลือกตั้งเลยหรือ ?
เพื่อขยายปมดังกล่าวให้ชัดเจนขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้สัมภาษณ์ “รศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำผลวิจัยการเลือกตั้งปี 2554 เกี่ยวกับต้นตอวาทกรรม “ซื้อสิทธิ์-ขายเสียง” ว่ายังมีอยู่จริงหรือไม่ และทางออกของปัญหาดังกล่าวคืออะไร
เชิญติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
@ วาทกรรมเรื่อง “ซื้อสิทธิ์-ขายเสียง” เป็นเรื่องจริงหรือแค่มายาคติ คำพูดเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร
จากการประเมินของตนว่า ในช่วงแรกของการเลือกตั้งมันก็ประชาชนก็ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยนั่นแหละ อันนั้นต้องเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ และเราก็มีการเลือกตั้งแต่ปี 2476 และถ้าให้พูดอย่างตรงไปตรงมาคณะราษฎร เองตอนนั้นก็ไม่ได้ไว้ใจประชาชน ถึงบอกว่าต้องให้จบการศึกษาประถมก่อนถึงจะเลือก แต่ว่าจะให้พูดจริง ๆ ช่วงแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็ยังไม่มีการสร้างวาทกรรม โง่ จน เจ็บ หรือว่าการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเป็นปัญหาหลักของการเมืองไทย มันไม่เคยเกิดขึ้น
แต่ความเข้มข้นของวาทกรรมอันนี้มันน่าจะเริ่มมาจากงานวิจัยในพฤติกรรมศาสตร์ช่วงแรก ๆ ที่ไปมุ่งเน้นวัดทัศนคติของประชาชนในคำถามที่อยู่ภายใต้กรอบของศีลธรรม ศาสนา จรรยาบรรณ และจารีตแบบไทย ๆ โดยที่อาจละเลยโครงสร้างและความสัมพันธ์ ที่เป็นความสัมพันธ์แบบของไทยเอง คือไปมองว่า ความสัมพันธ์แบบการให้ค่าตอบแทนเกิดขึ้นหลัก ๆ ในชนบท โดยเปรียบเทียบชนบทกับกรุงเทพ และเขตเมือง และนำไปสู่ข้อสรุปว่า คนกรุงเทพนิยมเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล ดังนั้นการเลือกพรรคทำให้ไม่ซื้อเสียง ในขณะคนต่างจังหวัดเน้นบุคคลมากกว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพรรค กับนโยบาย เลยทำให้เกิดการซื้อเสียง ซึ่งงานวิจัยในลักษณะนี้ของนักวิชาการจำนวนหนึ่ง มันถูกผลิตซ้ำ พอมีต้นแบบ ก็ตั้งคำถามเดิม ผลการศึกษาก็ออกมาเหมือนเดิม เลยเป็นการผลิตซ้ำวาทกรรมนี้
และไม่ใช่วงวิชาการด้วย แต่ยังถูกผลิตซ้ำโดยสื่อ หรือการรณรงค์ของกระทรวงมหาดไทยในสมัยก่อน ซึ่งรณรงค์ว่าอย่าซื้อสิทธิ์ขายเสียง มันก็เลยทำให้คำนี้ถูกฝังอยู่ในใจของคนไทยว่า พอมีการเลือกตั้งก็นึกถึงการซื้อเสียง คือมันเหมือนมีอำนาจนำในสังคม ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน และอำนาจรัฐ ที่เอาวาทกรรมนี้ลดทอนคุณค่าของการเลือกตั้ง
@ ปัญหาความยากจนและด้อยการศึกษา ยังถือเป็นต้นตอหลักของการซื้อเสียงอยู่จริงหรือไม่
ถ้าให้พูดอย่างไม่ไร้เดียงสาทางการเมืองก็เกี่ยวแน่นอน ความยากจนมันก็ทำให้เขาต้องพึ่งพานักการเมือง การด้อยการศึกษามันก็ทำให้เขาไม่เข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของเขาเอง และบทบาทหน้าที่ของพรรค และนักการเมือง และปฏิสัมพันธ์ทั้งหมด ซึ่งนี่กลายเป็นสิ่งตอกย้ำของกระบวนการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
แต่ต้องยอมรับว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุครัฐบาล พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) ที่นำเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจมาใช้ และได้ผล มันทำให้ความยากจนภายใต้เส้นที่เรียกว่า poverty line ของคนไทยมันสูงขึ้น และไม่ได้อยู่ใต้นั้นแล้ว โดยการศึกษาเองก็เข้าถึงประชาชนมากขึ้น ดังนั้นตัวที่เป็นปัจจัยหลักได้ถูกทำให้อ่อนแรงลงไปเยอะ ในขณะที่วาทกรรมอันนี้มันกลับเข้มแข็งขึ้น คือมันสวนทางกับความเป็นจริง
พอมาช่วงหลัง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นต้นไป ที่ระบบเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งขึ้น คำว่าชนบทที่เรามองว่าเป็นภาพของคนโง่ จบ เจ็บ หรือไร้การศึกษา หรือยากจน มันเปลี่ยนไปแล้ว มันเกิด “ชนชั้นกลางใหม่” ซึ่งอาจไม่ได้รวยเท่าชนชั้นกลางเดิม แต่คนเหล่านี้เขามีรายได้ที่มากขึ้น แต่อาจไม่ถึงระดับพึ่งพาตัวเองได้ แต่รายได้เขามากขึ้น เข้าถึงข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะทุกวันนี้แทบทุกบ้านยังไงก็ต้องมีอินเทอร์เน็ต แต่ว่าความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีอยู่ ถึงแม้ชนชั้นกลางใหม่จะเป็นคนอีกชนชั้นที่เกิดขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าคนกลุ่มนี้ต้องยังพึ่งพานักการเมืองในลักษณะเดิม ๆ อยู่
ถ้าจะให้พูดเหน็บหน่อย พฤติกรรมพึ่งพานักการเมืองที่คนชนบทมี ชนชั้นกลางก็พึ่งพานักการเมืองและอำนาจรัฐเหมือนกัน ไม่ได้ต่างกัน แต่ทำไมวาทกรรมนี้ ถึงมีคนชนบทเป็นผู้ร้ายอยู่คนเดียว แต่ชนชั้นกลางเป็นพระเอกเต็มไปหมด
เพราะว่าชนชั้นกลางเองก็ใช้การแลกเปลี่ยนในเชิงอุปถัมภ์ ที่คนชนบทใช้ในลักษณะที่ไม่ต่างกัน เพียงแต่ตัวเนื้อที่เปลี่ยนอาจจะต่างกัน แต่มันก็อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์การฝากลูกเข้าเรียน การฝากเข้าทำงาน ขอเตียงในโรงพยาบาล การจ่ายเงินตำรวจ เพียงแต่ว่าการแลกเปลี่ยนของคนชนบทคือ หน้าที่บทบาทของเงินในการแลกเปลี่ยนมันเปลี่ยนไปเยอะ
คือทุกวันนี้บอกได้เลยว่าคืนหมาหอนเนี่ยมันไม่ได้ผล คือการซื้อเสียงควรต้องซื้อกันทั้งปี คือให้สนิทชอบใจกัน
ขอเน้นว่า ไม่ใช่ว่าการซื้อเสียงมันไม่มี มันมี และมันก็ยังเป็น function ที่มีหน้าที่เหมือนกับว่าหากมีการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีนักการเมืองมาให้ คนชนบทหรือคนนอกกรุงเทพ เขาก็จะรู้สึกว่านักการเมืองไม่เหลียวแล หรือไม่ความสำคัญกับเขา เขาอาจไม่ออกไปเลือกตั้ง แต่ถ้าเขาเลือกแล้วเขาก็จะเลือกกับคนที่เขาไว้ใจ กับคนที่เขาเห็นผลงาน ซึ่งบางทีมันผ่านสิ่งตอบแทนเล็ก ๆ น้อยที่ว่าไม่ใช่เงิน แต่อาจเป็นการช่วยเหลือดูแลกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
สิ่งอื่น ๆ ที่เปลี่ยนไป และมีลูกศิษย์ทำรายงานกรณีดังกล่าว และพบสิ่งน่าสนใจ เช่น การเอางบท้องถิ่นมาพาไปเที่ยว อันนี้ก็เป็นการสร้างสินน้ำใจในระยะยาว ปี 1 ไปเที่ยว 3-4 หน ถือเป็นการทำความคุ้นเคย แต่ปัญหาคือเป็นการเอางบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นไปใช้เพื่อรักษาฐานคะแนนเสียงตัวเอง อันนี้ก็เป็นรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนไป แต่มันไม่ใช่เป็นการใช้เงินเพื่อแลกกับคะแนนอย่างตรงไปตรงมาเหมือนในอดีตแล้ว ซึ่งจะแก้ปัญหาต้องทำความเข้าใจกับพลวัตรที่เปลี่ยนไปของการซื้อเสียง
@ นโยบายประชานิยม ถือว่าเป็นการซื้อเสียงหรือไม่
ความเห็นส่วนตัวมองว่านโยบายประชานิยมไม่ใช่การซื้อเสียง แต่ถามว่านโยบายประชานิยมมีปัญหาไหม มันมีปัญหา ต้องเอาให้ชัด ทำไมนโยบายประชานิยมถึงมองว่าไม่ใช่การซื้อเสียง เพราะว่านโยบายต่างประเทศก็มีนโยบายในการเอาใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
และแม้แต่นโยบายประชานิยมเอง นิยามให้ตรงกันยังไม่สามารถมีได้เลย คืออะไรที่บอกได้ว่านโยบายนั้นประชานิยม สมมติบอกว่า จำนำข้าวประชานิยม ทำไมประกันราคาข้าวไม่ประชานิยม ทำไมรถคันแรกประชานิยม ทำไมแจกเช็ค 2,000-3,000 บาทไม่ประชานิยม
@ หมายถึงเป็นเส้นบาง ๆ กั้นระหว่างนโยบายรัฐสวัสดิการกับประชานิยม
ถูกต้องด้วย แต่จริง ๆ ยังไม่เห็นนโยบายไหนเป็นรัฐสวัสดิการจริง ๆ ของไทย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการ พรรคไทยรักไทยใช้นโยบายนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ใช้นโยบายนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้นโยบายนี้ แล้วคุณจะใช้เรียกมันว่าอะไร ให้คิดเอาเองว่านี่คือประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการ
ถ้านโยบายประชานิยมคือการซื้อเสียง ก็ต้องบอกว่าทุกรัฐบาลใช้นโยบายเพื่อการซื้อเสียง ถามว่าต่างประเทศใช้นโยบายเพื่อการซื้อเสียงไหม เขาก็ใช้ ถ้ามองว่านโยบายประชานิยมคือการซื้อเสียง
ดังนั้นนโยบายคือเครื่องมือของการได้คะแนนเสียงที่ถูกต้องชอบธรรม ถ้านโยบายประชานิยมมีปัญหา อันนี้ต้องไปแก้ที่ตัวนโยบาย แต่ตัวนโยบายที่ประชาชนชอบ และมาลงคะแนนให้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามไม่ใช่ประชานิยม”
เวลาที่คนชั้นกลางในกรุงเทพมองว่าคนนอกกรุงเทพเลือกเอาผลประโยชน์นโยบายเป็นหลัก จริง ๆ เป็นการมองที่กลับตาลปัตร คือมันถูกแล้วที่เขาจะเลือกเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นตัวตั้ง และเอานโยบายเป็นสาเหตุหลัก เพราะว่าใครจะรู้ผลประโยชน์ของเขาได้ดีกว่าตัวเขาเอง และเขาก็มีสิทธิ์จะเลือกเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ เลือกนักการเมืองเพราะคนนี้ทำประโยชน์ให้ และแน่นอนเขาใกล้ชิดกันขนาดนั้น เขาก็จะรู้ว่าคนนี้โกงหรือไม่โกง แต่ว่าไม่ใช่ว่าทำประโยชน์ให้ เราก็เลือกถึงแม้จะโกง
ในสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ มองว่านักการเมืองนั้นโกงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลางในกรุงเทพ หรือคนนอกกรุงเทพ ดังนั้นประเด็นคือตัวเลือกที่มีมาให้เขา มันไม่มีนักการเมืองสะอาด เก่ง และไม่โกง ถ้ามีตัวเลือกที่เป็นคนสะอาดอย่างที่ว่า เก่ง ไม่โกงด้วย เชื่อว่าเขาก็จะเลือก เพราะเขาใกล้ชิดกับนักการเมืองมากกว่าคนในกรุงเทพเสียอีก
การเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นตัวตั้ง เป็นตรรกะที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะว่าคนดีมีคุณธรรม จะมารู้จักผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุด ถ้าต่างคนต่างเลือกโดยผลประโยชน์ และคำว่าผลประโยชน์ไม่ได้แปลว่าเลือกแค่ว่าได้สินบนมา แต่เป็นผลประโยชน์ในแง่ของจริยธรรมท้องถิ่น ซึ่งอาจจะแตกต่างกับจริยธรรมของชนชั้นกลางด้วยก็ได้ และการตรวจสอบที่เขามีก็จะไปถ่วงดุลกันเองในภาพรวม จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า collective interest คือผลประโยชน์รวมของชาติ เพราะถูกถ่วงดุลโดยคนแต่ละชั้น แต่ละพื้นที่ แต่ละระดับรายได้ด้านการศึกษา
ดังนั้นการเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นตัวที่บอกถึงเจตนารมณ์โดยรวมของปวงชนชาวไทย ที่ถูกถ่วงดุลมาแล้วจากคน 40 กว่าล้านคน
@ ในงานวิจัยของ ผศ.อภิชาติ (สถิตนิรมัย) ระบุว่า “คนเสื้อแดงได้รับประโยชน์จากโครงการของคุณทักษิณ (ชินวัตร) อดีตนายกรัฐมนตรี มากกว่าคนเสื้อเหลือง หรือคนที่เป็นกลาง” เพราะเหตุนี้หรือไม่ ทำให้ชนชั้นกลางคิดว่า นโยบายประชานิยมหมายถึงการซื้อเสียง
มีงานวิจัยของ อ.ผาสุก (พงษ์ไพจิตร) ที่บอกว่าที่ผ่านมา คนอีสานมีประชากรอยู่ประมาณ 36 เปอร์เซ็นต์ แต่งบประมาณของประเทศที่ลงไปในภาคอีสานแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนกรุงเทพมีประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่งบประมาณมาลงที่กรุงเทพ ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้คนนอกกรุงเทพรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำ อันนี้แน่นอน อย่างที่บอกว่า ไฟก็ไม่มี ถนนก็พัง ถ้าเปลี่ยนเป็นกรุงเทพ ถนนสุขุมวิทพัง ครู่เดียวก็มีคนมาซ่อมให้ ไฟดับแป๊บเดียว เดี๋ยวก็มา ไม่ต้องพูดถึงน้ำสะอาดเลย อันนี้เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่คนนอกกรุงเทพมีอยู่แล้ว รวมถึงวาทกรรมหรือภาพลักษณ์ที่คนกรุงเทพดูถูกคนต่างจังหวัดผ่านละครหลังข่าว
ทีนี้พูดถึงงานของ อ.อภิชาต ส่วนหนึ่งมองว่า งบประมาณในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณมาลงที่ต่างจังหวัดเยอะ อันนี้ไม่มีตัวเลข แต่ที่ประเมินดูแล้วพบว่างบส่วนใหญ่ของรัฐบาลทักษิณ ก็ยังเป็นงบที่ใช้ไปกับคนฐานะดีในเมืองมากกว่าคนชนบท เพียงแต่ชนชั้นกลางอาจไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้ประโยชน์จากนโยบายหลัก ๆ ที่คุ้นหู
หลังจากที่ไปทำแบบสอบถามสัมภาษณ์ คนชนบทจะพูดถึงเรื่องกองทุนกู้ยืมเงินเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งจริง ๆ ชี้ให้เห็นว่าคนชนบทเขาอยากที่จะมีความรู้ อยากที่จะติดอาวุธตัวเองเพื่อเทียบเท่ากับคนในเมือง เขาไม่ได้อยากนอนรอความช่วยเหลือ แต่ที่ผ่านมาเขาถูกปิดกั้นโอกาสของการศึกษาต่างหาก ดังนั้นพอมีกองทุนก้อนนี้ที่จะทำให้เขาปรับสถานภาพ ไต่เต้าระดับทางชนชั้นไปสู่ชนชั้นกลางใหม่ได้ เขายินดีกับเรื่องนี้มาก ซึ่งเป็นนโยบายที่คนไม่ค่อยพูดถึง
โดยประเมิน คิดว่างบประมาณส่วนใหญ่สมัยไทยรักไทยยุคแรกหมดไปกับโครงการล้มบนฟูก ช่วยไปประคองธุรกิจขนาดใหญ่ของบริษัทที่ล้มไปในสมัยเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมันเยอะกว่าด้วยซ้ำ แต่ปัญหาคือมันเกิดช่องว่างไง เพราะคุณทักษิณใช้นโยบายคู่ขนาน มันทำให้ประคองกลุ่มทุนหลักซึ่งรวยอยู่แล้ว กับประคองคนรากหญ้า แต่คนชั้นกลางไม่มีนโยบายที่ชัดเจนมารองรับ คนชั้นกลางอาจมองว่าไม่ได้ประโยชน์จากคุณทักษิณ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง
การที่คนชั้นกลางรู้ว่าตนเองไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจากคุณทักษิณ มันเป็นความรู้สึก แต่สิ่งที่คนชั้นกลางไม่ได้ประเมินไปด้วยว่า ถ้าสังคมไทยมีคนชั้นกลางใหม่เยอะ ๆ และคนชั้นกลางเป็นฐานที่เข้มแข็งมากขึ้น มารวมพลังกับชนชั้นกลางเดิมได้ มันจะเป็นพลังที่ขับเคลื่อนประชาธิปไตยได้ดีกว่า สังคมคนจะใกล้กันมากขึ้น จะเป็นสังคมที่คนอยู่ได้สบายใจขึ้น มีมุมมองไม่ต่างกัน ลดอาชญากรรม แล้วก็ทำให้ความแตกต่างทางความคิดจะไม่นำมาสู่การขัดแย้งอย่างในปัจจุบันนี้
แต่ในสังคมไทย ชนชั้นกลางกลับเลือกที่จะโดดเดี่ยวชนชั้นกลางใหม่ และชนชั้นล่าง แล้วพยุงตัวเองไปเป็นพันธมิตรกับชนชั้นนำ และกลุ่มทุนหลัก ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างตรงนี้ และทำให้ชนชั้นกลางในสังคมไทยไม่ได้เป็นพลังในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย เพราะไม่หันมาทำความเข้าใจกับกลุ่มที่ตัวเองต้องมาเป็นพันธมิตรและทำความเข้าใจเขา
@ หมายถึงชนชั้นกลางเดิมกำลังอิจฉาชนชั้นกลางใหม่
อย่าไปใช้คำว่าอิจฉา คือเขาไม่เข้าใจวิธีคิด แต่เขาดูแคลน และไม่เชื่อใจว่าคนเหล่านี้จะสามารถคิดด้วยตัวเองได้ หรือรักษาผลประโยชน์ของตัวเองได้ เพราะแต่เดิม คนชั้นกลางเดิมกับชนชั้นกลางใหม่คิดต่าง เขาไม่ยอมรับความคิดต่างตรงนี้ จึงยอมรับไม่ได้ เพราะคิดไม่เหมือนเขา จึงทำให้ไม่สามารถมาเป็นพลังร่วมกันได้
และชนชั้นกลางเดิมก็คิดไปเองว่าตัวเองเป็นเหมือนชนชั้นนำ หรือกลุ่มทุน คือปิดเทอมก็ไปเมืองนอก ไปรีสอร์ตหรู ๆ ขณะที่ชนชั้นกลางใหม่ก็เป็นคนคอยดูแลธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ คือการที่เขาคิดไม่เหมือนมันทำให้ชนชั้นกลางรู้สึกดูแคลน ทั้ง ๆ ที่เขามีสิทธิ์จะคิดไม่เหมือน คือไม่พยายามทำความเข้าใจวิธีคิดของเขา
@ ปัญหาเรื่องการซื้อเสียงทั้งหมด มีคนบางกลุ่มเสนอให้แก้ด้วยการจำกัดวุฒิการศึกษาในการเลือกตั้ง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดหรือไม่
อันนี้เป็นอันที่ต้องระวังมาก เอาเข้าจริง ๆ ยังไม่เคยเห็นใครพูดเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ มีการแชร์กันเต็มไปหมดในโซเชียลมีเดีย แต่หาที่มาไม่ได้ และไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดและก็เอามาประณามกัน และทำให้เกิดความขัดแย้ง และไม่พยายามทำความเข้าใจวิธีคิดของแต่ละฝ่าย คือฝ่ายที่ชูธงเรื่องประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งก็ไปประณามอีกฝ่ายหนึ่งว่าคุณไม่เคารพสิทธิ์ แต่เอาเข้าจริง ๆ ยังไม่เห็นต้นตอเลย แต่ว่ามันก็ไม่ได้พูดถึงขนาดไปถึงจำกัดวุฒิการศึกษา ยังไม่เห็นตรงนั้น
แต่ถามคือควรไปถึงตรงนั้นหรือไม่ คือไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องวุฒิการศึกษา เพศ สถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมมาเป็นตัววัด
อย่างที่พูดไปแล้วว่าการศึกษาไม่ได้เป็นตัวบอกว่าคนที่การศึกษาดีกว่าหรือรวยกว่าจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของคนอื่น ๆ ในสังคมได้ คือจะเข้าใจในผลประโยชน์ของชาติได้ดีกว่า ดังนั้นเมื่อไม่มีใครรู้จักผลประโยชน์ของใครได้ดีกว่า ดังนั้นก็ต้องให้แต่ละคนเขาเลือกผลประโยชน์ของตัวเขาเอง อันนี้คือตรงไปตรงมาที่สุด
หรือถ้าบอกว่าคุณการศึกษาน้อยคุณอยู่เฉย ๆ เดี๋ยวเราจัดให้ เพราะเราการศึกษาดีกว่า เราเห็นโลกมาเยอะกว่า แต่คุณไม่รู้ว่าผลประโยชน์ของคุณหรือผลประโยชน์ของคนที่การศึกษาน้อยมันอาจต่างกัน ดังนั้นไม่มีใครรู้ ถามว่าอยากกินอะไร ก็ต้องดูว่าแต่ละคนอยากกินอะไร นี่คือเหตุผลว่าการศึกษาสูงไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจแทน
เรื่องการขยายสิทธิเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ในสังคมไทยมันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ในต่างประเทศมันเป็นสิทธิ์ที่เขาต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อกันมา เขาจึงหวงแหนมาก กระบวนการขยายสิทธิ์เลือกตั้งเป็นการทั่วไป มันชี้ให้เห็นว่า สังคมทั้งหลายในโลกให้ความสำคัญกับความเสมอภาคในการเลือกตั้ง ถ้าไม่ให้ความสำคัญมันไม่เสียเลือดเสียเนื้อหรอก ดังนั้นเมื่อสังคมเรามีอยู่แล้ว เรื่องอะไรเราจะเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อที่จะทำลายมันลง
ประเด็นคือทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ทุกคนเป็นเจ้าของทรัพยากรร่วมกัน ดังนั้นทุกคนควรมีสิทธิ์ใช้และได้ประโยชน์จากทรัพยากรนั้น และใครจะเป็นคนตัดสินว่าควรใช้ทรัพยากรนั้น ๆ เท่าไหร่ก็คือผ่านการเลือกตั้ง และควรให้ทุกคนมีสิทธิ์ เพราะทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน จริง ๆ แล้วคนในพื้นที่ชนบทเองที่เขาอยู่กับทรัพยากร เขาถูกดึงทรัพยากรไปให้คนกรุงเทพใช้มาตั้งนาน และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าอยากให้งบประมาณถูกใช้ไปอย่างไร ซึ่งคือผ่านการเลือกตั้ง
@ ทางออกของปัญหาวาทกรรมซื้อเสียง จะแก้ไขอย่างไร
ต้องย้อนกลับไปว่ามันเริ่มมาด้วยงานวิจัย ดังนั้น
1.งานวิจัยใหม่ ๆ นักวิชาการรุ่นใหม่ ๆ ต้องตั้งคำถามที่จะไปทำลายมายาคติเดิม และเอาเหตุผลมาพิสูจน์กันว่า วิธีคิดของคนนอกกรุงเทพ คนที่ถูกมองว่ามีรายได้น้อย เขามองเรื่องการซื้อเสียงอย่างไร
2.สื่อมวลชนเองซึ่งเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าก็ต้องพยายามให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมในเรื่องนี้ จริง ๆ แล้วอยากเห็นสื่อทำละครเพื่อให้เห็นถึงความเท่าทันของประชากรในพื้นที่ และก็ให้สะท้อนมุมมองที่แท้จริงที่เขามีต่อการซื้อเสียง หรือความสัมพันธ์ที่เขามีกับนักการเมือง
3.ก็ต้องออกแบบตัวระบบเลือกตั้ง สถาบันทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพรรคการเมือง ให้มันลดการซื้อเสียง ซึ่งมันทำได้ มันมีระบบเลือกตั้งบางระบบที่ทำให้การซื้อเสียงมีอิทธิพลน้อยลงมาก คือใช้การเลือกตั้งโดยเรียงลำดับความชอบ เป็นระบบของออสเตรเลีย และประเทศปาปัวนิวกินี
@ ระบบดังกล่าวจะปรับใช้ในประเทศไทยได้หรือไม่
ได้อยู่แล้ว แต่เวลาเสนอระบบนี้มา นักการเมืองจะมองว่ามันเข้าใจยาก และเขาไม่อยากใช้ ก็เป็นการดูถูกคนอีกแบบหนึ่ง ส่วนตัวมองว่าการเรียงลำดับชื่อมันง่ายกว่าเล่นหวยอีกนะ ความยากอยู่ที่ กกต. ที่ต้องนับคะแนนและรวบรวมบัตร แต่ทุกวันนี้มันก็มีเทคโนโลยีช่วย ถ้าจะใช้จริง ๆ
อีกอย่างคือถ้ามีการออกแบบระบบการเมืองใหม่ ถ้าเราทำให้ต้นทุนในการซื้อเสียงมันสูงมาก จนผู้ซื้อเสียงเขารู้สึกไม่คุ้มก็ทำได้เหมือนกัน เช่น การห้ามไม่ให้ ส.ส. เป็นรัฐมนตรีเลยก็ได้ ถ้า ส.ส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีมันก็ไม่คุ้ม หรือลดระยะเวลาในการเลือกตั้งลงเหลือ 2-3 ปี คุณต้องซื้อทุก 2 ปีคุณก็เหนื่อยแล้ว
หรือใช้วิธีระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด คือเลือกผู้สมัครด้วย แทนที่จะเลือกเฉพาะพรรคการเมืองอย่างเดียว เหมือนที่ประเทศอินโดนีเซียใช้
ถ้าเราออกแบบระบบการเมืองดี ๆ มันมีวิธีลดการซื้อเสียงได้จริง ๆ เราต้องหาวิธีแก้ตรงนั้น อย่าประณามหรือลดทอนความสำคัญของการเลือกตั้ง
@ งานวิจัยที่เกี่ยวกับการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในไทยตอนนี้มีมากน้อยแค่ไหน
ถ้าในเชิงมหภาคก็มีแค่ของฉันกับของ อ.ปริญญา (เทวานฤมิตรกุล) แค่ 2 เล่มเท่านั้น
คือว่างานวิจัยในลักษณะระดับชาติ และเวลาจะทำวิจัยการเลือกตั้ง จะทำได้แค่ช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้ทำวิจัยบ่อยไม่ได้ อันนั้นก็เป็นข้อจำกัดหนึ่ง อีกอย่างคือใช้ทุนเยอะ มันก็จะไม่ค่อยมีคนให้ทุน ถ้ามีใครให้ทุนเราก็ทำให้ เพราะอยากทำทุกปีที่มีการเลือกตั้ง
ในแง่ของทุนถ้าไปมองถึงสภาวิจัย สภาวิจัยให้เงินทุนกับการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทางวิศวกรรมศาสตร์เยอะมาก แต่ทางสังคมศาสตร์จะไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทุกปีทุนก็จะลดลง มันน้อยมาก จนนักวิจัยไม่อยากทำวิจัยในเรื่องของการซื้อเสียง เพราะว่าทำในลักษณะสอบถาม
ทางแก้คือเรียกร้องให้สภาวิจัย หรือรัฐบาลให้ความสำคัญกับงานวิจัยด้านสังคมศาสตร์มากขึ้น เพื่อให้งานวิจัยมีงานดี ๆ ออกมาไม่ใช่เฉพาะระดับชาติ แต่หมายถึงระดับภูมิภาคเอง อาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยภูมิภาคก็ควรจะได้งบทำวิจัยในภูมิภาคตัวเอง และเอาข้อมูลมาคัดค้านมาโต้เถียงกัน และถ้าสื่อจะให้พื้นที่นำเสนองานวิจัยเพื่อทำให้เข้าถึงสังคมโดยรวม ก็ยิ่งจะเป็นเรื่องดี เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ใครไม่เห็นด้วยก็มาถกเถียงในเชิงเหตุผลและเชิงวิชาการ
-ภาพประกอบจากเฟซบุ๊กส่วนตัว Siripan Nogsuan Sawasdee