ความเป็นมาของคะแนนโหวตโน โดย ศาสตราจารย์ นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์
ผมเกิดมาพร้อม ๆ กับปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เคยใช้สิทธิเลือกตั้งมาตั้งแต่ผมมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อประมาณ 60 ปีมาแล้ว ผมนึกไม่ออกว่า ในบัตรเลือกตั้งมีช่องให้ผู้เลือกตั้งกาในช่องผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเริ่มตั้งแต่สมัยใด และผมไม่มีเวลาที่จะตรวจสอบกฎหมายเลือกตั้งย้อนไปดูว่า กฎหมายเลือกตั้งฉบับใดบัญญัติเรื่องให้มีการลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน แต่หลักฐานเท่าที่ผมมีอยู่คือ กฎหมายเลือกตั้งที่ออกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541) ซึ่งกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มีหน้าที่ต้องไปใช้สิทธิ และหากผู้ไม่ไปใช้สิทธิ โดยไม่มีการแจ้งเหตุผลล่วงหน้าก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 7 วัน ผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิหรือเสียสิทธิบางประการที่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ
เมื่อกฎหมายบังคับให้ไปใช้สิทธิ (ลงคะแนน) ก็จำต้องให้เสรีภาพต่อประชาชนผู้ถูกบังคับให้ไปใช้สิทธิโดยเสรี ที่จะลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใด หรือไม่ลงคะแนนให้ใครก็ได้ นี่จึงเป็นเหตุว่า ในบัตรเลือกตั้งจึงมีช่องให้ผู้เลือกตั้งทำเครื่องหมาย (กากบาท) ในช่องผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน (มาตรา 56 ของกฎหมายที่กล่าวมาแล้ว) และในมาตรา 70 ในกฎหมายฉบับนั้น บัญญัติให้มีการนับคะแนนสำหรับเลือกตั้งชนิดนี้ด้วย และต้องประกาศจำนวนบัตรดังกล่าวด้วย ไม่ได้ถือว่าเป็นบัตรเสียอย่างที่ใคร ๆ พยายามออกมาบิดเบือน และในมาตรา 74 ของกฎหมายฉบับเดียวกันบัญญัติว่า
“ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียวและผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้นได้คะแนนเสียงตั้งแต่ร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้นั้นเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง
ในกรณีที่เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งคนเดียวตามวรรคหนึ่งและได้คะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น”
จากผลของมาตรานี้ มีผลทำให้ กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในหลายเขตเลือกตั้ง ในจังหวัดเล็กที่มี ส.ส.ในจังหวัดนั้นเพียงคนเดียว ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่พรรคการเมืองต่าง ๆ พากันประท้วงพรรคไทยรักไทย (ต่อมาการเลือกตั้งคราวนั้น ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการเลือกตั้งเป็นโมฆะ) คราวนั้นก็มีการรณรงค์ให้มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไปกาในช่องผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเหมือนกัน โดยประสงค์จะตัดคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีคนเดียวจากพรรคไทยรักไทยให้ได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 20 ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
เมื่อภายหลังที่เรามีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (ฉบับปัจจุบัน) กฎหมายเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550) ได้บัญญัติมาตรา 88 และมาตรา 89 ไว้ โดยให้ความสำคัญของคะแนนในช่องที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเพิ่มขึ้นอีก ดังบทความในฉบับแรกของผม กล่าวคือ
สาระสำคัญของ มาตรา 88 บัญญัติไว้ ดังนี้
ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่ากับหรือน้อยกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้น (1 ถึง3 คน) ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อ
(1) ได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และ
(2) มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
ในกรณีที่ผู้สมัครผู้ใด ไม่ผ่านเกณฑ์ 2 ข้อดังกล่าว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เฉพาะตำแหน่งที่ได้รับคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ 2 ข้อดังกล่าว และให้นำความในมาตรา 9 มาใช้บังคับ
“มาตรา 9 ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ให้คณะกรรมการ
การเลือกตั้งมีอำนาจออกประกาศให้ย่นหรือขยายระยะเวลาหรืองดเว้นการดำเนินการที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เฉพาะในการเลือกตั้งนั้น เพื่อให้เหมาะสมและจำเป็นแก่การดำเนินการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรมได้”
ดังนั้น ตามมาตรา 88 ของกฎหมายเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2550 กลับให้ความสำคญของคะแนนของจำนวนบัตรที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเพิ่มขึ้น โดยทั้งนำมาแข่งกับคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนสูงสุดในจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยกันที่จะผ่านการได้รับการประกาศจาก กกต.ว่า เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งในเขตนั้น โปรดสังเกตว่า มาตรา 88 ใช้คำว่า มากกว่า สำหรับเกณฑ์ใน (2) เพราะฉะนั้น แม้คะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งจะได้เท่ากับจำนวนบัตรของผู้ที่กาในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน ก็ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรา 88 ครับ
ส่วน มาตรา 89 วรรคแรก บัญญัติว่า
“ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง แต่ในเขตเลือกตั้งที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้มากกว่าหนึ่งคน ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเรียงตามลำดับลงมาในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้น”
สำหรับวรรคสองของมาตรา 89 ระบุถึงกรณีผู้สมัครเลือกตั้ง ฯ หลายคน มีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเลือกตั้งเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีจับสลากเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง
ต่อมาเมื่อรัฐบาลที่ผ่านมาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้ง ให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเป็นเขตละ 1 คน มาตรา 88 และมาตรา 89 ของกฎหมายเลือกตั้ง ก็มีการแก้ไขใหม่ (พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) ซึ่งต้องนำมาใช้กับการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้เป็นครั้งแรกด้วย แต่สาระสำคัญของมาตรา 88 และมาตรา 89 ที่แก้ไขใหม่ เหมือนเดิมทุกประการ สาเหตุสำคัญที่เพิ่มความสำคัญของจำนวนบัตรของผู้ที่กาในช่องผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนนนั้น คงเป็นมาตรการในการป้องกันกรณีที่เขตที่ผู้สมัครคนเดียว พรรคเดียว หรือว่าจ้างพรรคเล็กลงแข่งขัน เพื่อให้พ้นเกณฑ์ 20 เปอร์เซนต์ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ผมออกจะผิดหวังที่เลขาธิการ กกต.ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า กรณีตามมาตรา 88 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มี เพราะไม่มีเขตใด มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว เพราะมาตรา 89 ตามกฎหมายปัจจุบันเขียนไว้ชัดเจนว่า
“มาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลากซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด”
ที่ผมเขียนไปในบทความฉบับแรกที่ว่า มาตรา 88 ต้องนำมาใช้ในมาตรา 89 ด้วยนั้น ผมไม่คิดว่าจะมีนักกฎหมายคนใดมีความเห็นเหมือนเลขาธิการ กกต. เพราะนักกฎหมายที่ใช้กฎหมายอยู่เป็นประจำทุกคน เข้าใจเหมือนกันทุกคนครับ ไม่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความให้เสียเวลา เพราะสำนวนแบบนี้มีใช้ในกฎหมายหลายฉบับ และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ใช้อยู่หลายมาตรา ตัวอย่างเช่นมาตรา 281 บัญญัติว่า
“มาตรา 281 ภายใต้บังคับมาตรา 1 รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการสาธารณะ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่
ท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
มาตรานี้หมายความว่า การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทใด ๆ ก็ต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 1 คือ ภายในราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกได้
เมื่อยกตัวอย่างมาตรานี้ ทำให้ผมนึกถึงพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ไปหาเสียงในภาคใต้ว่า พรรคเขามีนโยบายในการจัดการปกครองให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเขตปกครองหรือรัฐอิสระ กกต.ช่วยดูด้วยนะครับว่า การหาเสียงของพรรคการเมืองนี้ จะเป็นไปตามมาตรา 281 หรือไม่
ผมออกจะเป็นห่วง กกต.ครับ ถ้าเลขาธิการ กกต.ยังแปลกฎหมายตามใจชอบอยู่อย่างนี้ อาจมีผลทำให้ กกต.เข้ารกเข้าพงไปอีกองค์กรหนึ่ง อยากจะเตือน กกต.ชุดนี้ให้ดูชะตากรรมของ “กกต.ชุด 3 หนา” เอาไว้บ้าง
สุดท้ายผมยืนยันว่า จำนวนเสียงของผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน เป็นมติมหาชนหรือประชามติ ถ้าสามารถยับยั้งไม่ให้ ส.ส.เขตได้รับการประกาศให้เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งได้ถึงเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ควรจะมีทั้งหมด (คืออย่างน้อย 26 เขต) สภาผู้แทนราษฎรก็ไม่สามารถเปิดประชุมได้ ต้องรอให้ กกต.จัดการเลือกตั้งในเขตที่ยังไม่มี ส.ส.ใหม่ จนกว่าจะมี ส.ส.เกินกว่าร้อยละ 95
ถามว่า เมื่อถึงขนาดนั้น ความวุ่นวายอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่
ผมว่าประชาชนก็ยังอยู่เหมือนเช่นทุกวันนี้ โดยมีรัฐบาลยังรักษาการอยู่
ความวุ่นวายน่าจะอยู่ในส่วนของพรรคการเมือง ที่จะต้องหาคนลงสมัครใหม่ ถ้า กกต.จะตีความว่า ผู้สมัครที่ได้คะแนนไม่เกินจำนวนบัตรของผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ไม่มีสิทธิสมัครใหม่ในเขตเดิม เพราะขัดประชามติของประชาชนในเขตนั้น ก็ยิ่งจะเพิ่มความปั่นป่วนในพรรคการเมืองต่าง ๆ ยิ่งขึ้น
ส่วนภาคประชาชนก็ไม่มีใครเดือดร้อน
เพราะฉะนั้น อยากจะเชิญชวนผู้ที่เบื่อการเมืองน้ำเน่า สภาน้ำเน่า ส.ส.น้ำเน่า และในอดีตเคยต่อต้านด้วยการนอนหลับทับสิทธิ คราวนี้ต้องเห็นถึงความสำคัญของโหวตโน โดยช่วยกันออกไปใช้สิทธิกาช่องที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน จึงจะเป็นการ “เอาคืน” พวกน้ำเน่าทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้นได้ครับ