- Home
- Isranews
- เวทีทัศน์
- นโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พิสูจน์ว่า “เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ..หรือ.. “เอาประชาชนเป็นตัวประกัน”
นโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พิสูจน์ว่า “เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ..หรือ.. “เอาประชาชนเป็นตัวประกัน”
ในช่วงนี้ที่มีการพูดคุยกันในวงสนทนาต่างๆ ผมชอบข้อสังเกตที่ว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น จะเป็นการพิสูจน์ว่า “เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ..หรือ.. “เอาประชาชนเป็นตัวประกัน” กันแน่
น่าดีใจ ที่ในนโยบายนั้น สะท้อนความต้องการของประชาชน ดังที่ได้คะแนนเลือกตั้งด้วยความศรัทธามาอย่างล้นหลาม ยังเต็มไปด้วยนโยบายต่างๆที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หลายๆเรื่องที่ประชาชนกังวลกัน ดังต่อไปนี้
• ไม่มีนโยบาย “ล้างความผิด” ผู้ที่มีคดีอาญาติดตัว หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่องดเก็บภาษีคนใกล้ชิด
• ไม่มีนโยบายคืนเงินของรัฐซึ่งยึดคืนมาจากการร่ำรวยผิดปรกติจากการใช้อำนาจรัฐอันมิชอบเพื่อเอื้อกิจการของตนของรัฐบาลในอดีต
• ไม่มีนโยบายคืนพาสปอร์ตกับผู้มีความผิดในคดีอาญา และหนีไปต่างประเทศ
• ไม่มีนโยบายในการปกปิด หรือบิดเบือนคดีต่างๆกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ, พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปราบการทุจริตฯ หรือ พ.ร.บ. การป้องกันการฟอกเงิน ฯลฯ
เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้ให้อำนาจการปกครองแบบประชาธิปไตยมาอย่างเป็นธรรม เมื่อเสียงส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทย เราคนไทยก็ได้นายกฯหญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯหญิงท่านแรกของประวัติศาสตร์ไทยแล้ว
มีนโยบายต่างๆที่รัฐบาลแถลงซึ่งประชาชนรอคอยอยู่ ขณะนี้บ้านเมืองก็สงบ ประชาชนทุกๆฝ่ายทุกๆสีก็ยอมรับ (จนเกือบจะไม่มีการแบ่งฝ่ายแบ่งสีอีกแล้ว) ฝ่ายค้านก็ยอมรับ กองทัพก็ยอมรับ ทุกฝ่ายให้โอกาสทำงานเพื่อประชาชนแล้ว
ประชาชนก็คาดหวังอย่างยิ่งว่า รัฐบาลจะใช้อำนาจที่มาจากประชาชน เพื่อประชาชนตามที่สัญญาได้แล้ว ซึ่งก็จะเป็นดังสัญญา “นโยบายรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ยึดเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ...
แต่รัฐบาลพึงระมัดระวัง เพราะหากมีนโยบายซ่อนเร้น หรือ การทำนอกนโยบายบางเรื่อง อาจสร้างเงื่อนไข ท้าทายกฎหมาย ท้าทายต่อการยอมรับของสังคม ก็อาจกลายเป็นปัญหา จนรัฐบาลอาจถึงทางตัน และอาจทำให้ไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้อีกต่อไป เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อาจกลายเป็น “นโยบายรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ยึดเอาประชาชนเป็นตัวประกัน” เพียงเท่านั้น
ประชาชนรอคอยวันนี้มานาน คาดหวังว่ารัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ จะเร่งแก้ปัญหาประชาชน ดังต่อไปนี้
1.แก้ไขปัญหา “ของแพง” ประเด็นหาเสียงแรกๆที่ “โดนใจ” คือ การ “แก้ปัญหาของแพง” ทั้งๆที่เป็นเรื่องยากที่รับทราบกันทั่วโลก ราคาน้ำมันสูงขึ้นมามากแล้ว จากแต่ก่อน 60-80 เหรียญ เป็น กว่า 100 เหรียญต่อบาเรล รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้บริหารอย่างชาญฉลาด เก็บเงินเข้ากองทุนจากน้ำมันเบนซิน เพื่ออุดหนุนแก็สหุงต้ม ประมาณว่า ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้วย เพราะคนเติมเบนซินมักเป็นรถส่วนตัวของคนมีสตางค์ และคนที่จะประหยัดก็เติมเป็นแก็สโซฮอลได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเกษตรกรด้วย รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็สนับสนุนค่ารถเมล์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปาสำหรับผู้ใช้น้อย โดยไม่ถือว่าเป็นบุญคุณส่วนตัว แต่อธิบายว่า “นโยบายรถเมล์ฟรี จากภาษีประชาชน” อย่างตรงไปตรงมา ทั้งหมดนี้ก็ลดภาระค่าครองชีพไปได้มาก
กระนั้น ของก็ยังแพงตามภาวะตลาดโลก แต่ก็ยังเป็นอัตราเงินเฟ้อเพียงประมาณ 4% ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับจีนประมาณ 5.5% หรือเวียดนาม (แดงทั้งแผ่นดิน) ประมาณ 12% ทุกคนแม้มีภาระเพิ่ม แต่เข้าใจว่ามาจากปัญหาของโลก
แต่นายกฯยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย แสดงถึงความมั่นใจว่า จะแก้ปัญหานี้ได้ดีกว่า แต่เมื่อรับตำแหน่งไม่นาน ก็เริ่มกลับมีเสียงว่า “ของแพง ซึ่งแพงมาตั้งแต่สมัยนายกฯอภิสิทธิ์” ผมว่าถ้าพรรคเพื่อไทยหาเสียง โดยให้ความเป็นธรรมว่า ของแพงมาจากปัจจัยภายนอกมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะพออธิบายเรื่องนี้ได้ แต่เมื่อหาเสียงไว้ว่าจะทำได้ดีกว่า ก็น่าจะแสดงฝีมือ เพราะประชาชนคาดหวัง เพราะตอนนี้ ของยิ่งแพงขึ้น ซื้อข้าวซื้อก๋วยเตี๋ยวตอนนี้ หมูน้อยลง หรือแพงขึ้น
ที่ยิ่งน่าเป็นห่วง คือ นโยบายบางเรื่องจะยิ่งสวนทาง การเพิ่มค่าแรงก้าวกระโดด จะทำให้ของแพงขึ้น และอาจทำให้กิจการบางแห่งจ้างงานต่อไม่ไหว คนที่ต้องตกงานจากนโยบายนี้จะลำบากมาก นโยบายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายเรื่องเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ อาจจะทำให้เงินเฟ้อมากขึ้น (ราคาสินค้าสูงขึ้น) การลดการจัดเก็บราคาเบนซิน อาจกระทบต่อกำลังการอุดหนุนก๊าซหุงต้ม และอาจเป็นการย้อนศรการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ชาวบ้านรอให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องของแพงนี้ด้วยใจจริง และคาดหวัง อย่าทำเรื่องอื่นจนเสีย และทำให้แฟนๆรอเก้อ
2.นโยบาย “ประชานิยม” ต่างๆ นโยบายประชานิยม ย่อมเป็นที่นิยมของปวงประชา เช่น ขึ้นค่าแรง เงินเดือน ราคาข้าว แท็ปเล็ต กองทุนหมู่บ้าน กองทุน SML กองทุนสตรี ฯลฯ ก็ขอให้เป็นการทำเพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน เพราะเมื่อเป็นการทำงานให้ประชาชน ประชาชนก็ได้ประโยชน์ แต่น่าตกใจเมื่อเห็นข่าวทำนองว่า มีการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อุดรฯ ซึ่งจะได้เงินเพิ่ม หมู่บ้านไหนจัดตั้งก่อนได้ก่อน ก็เปลี่ยนจากการทำ “เพื่อประชาชน” แต่กลายเป็นทำ “เพื่อพรรค” จนอาจทำให้มีความผิด และเป็นเหตุให้ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อไป
3.อย่าให้เรื่อง “ประโยชน์ส่วนตัว” หรือ “ประโยชน์ส่วนพรรค” มาก่อนทำให้ “ประโยชน์ประชาชน” ทำไม่ได้จริง หากรัฐบาลมุ่ง “ประโยชน์ส่วนตัว” หรือ “ประโยชน์ส่วนพรรค” อาจทำให้เจออุบัติเหตุทางการเมืองอีก ก็ไม่ใช่อ้าง “ประโยชน์ประชาชน” เป็นตัวประกันอีก เพราะขณะนี้ ถ้ารัฐบาลไม่หลงไป ก็ทำหน้าที่ตามที่สัญญาให้กับประชาชนได้แล้ว
“ประโยชน์ส่วนตัว” ที่อาจจะจินตนาการได้ เช่น (1) การคืนพาสปอร์ต หรือ ช่วยขอวีซ่าให้ผู้มีความผิดอาญา (2) การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เก็บภาษีที่ได้หุ้นถูกผ่านนิติบุคคล (3) การคืนทรัพย์ของแผ่นดินที่ยึดมากจากการร่ำรวยผิดปรกติโดยใช้อำนาจรัฐเอื้อกิจการส่วนตัว (4) การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิด (5) การเข้าประเทศของผู้ต้องโทษคดีอาญาโดยไม่มีหลักฐานเพิ่มหรือไม่ยอมรับโทษ (6) การยกแผ่นดินไทยให้ต่างชาติ เพื่อประโยชน์แอบแฝงธุรกิจส่วนตัว ฯลฯ
“ประโยชน์ส่วนพรรค” เช่น (1) การให้ประโยชน์การตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง (2) การให้ประโยชน์คนกลุ่มใดหรือสีใดโดยเฉพาะ ฯลฯ พรรคการเมืองและนักการเมือง มีหน้าที่ทำนุบำรุงบ้านเมือง ให้เป็นปึกแผ่น ไม่ใช่ให้แตกแยกแบ่งฝ่ายอีก
มีแนวทางการทำงานหลายทางให้รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์เลือก เป็นที่รู้กันแล้วว่า หากเร่งทำนโยบาย “เพื่อส่วนตัว” หรือ “เพื่อพรรค” อาจต้องประสบอุบัติเหตุทางการเมือง เช่น อาจผิดกฎหมายจนไม่สามารถอยู่ในอำนาจต่อไปได้ หรือ อาจทำให้สังคมไม่ยอมรับจนบ้านเมืองวุ่นวายอีกได้
แต่หากเร่งทำนโยบาย “เพื่อประชาชน” ให้เกิดผลตามสัญญา ก็จะมีแต่เสียงแซ้ซร้องสรรเสริญและศรัทธายิ่งขึ้นครับ
ขอให้นโยบายรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ “เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง” ไม่ใช่เพียง “เอาประชาชนเป็นตัวประกัน” ครับ