เงิน...เงิน...เงิน (4) : อย่าให้เงินอยู่ที่ใจ แต่ให้ใจอยู่กับพระองค์
กลับมาที่คำเทศนาเรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ตอนสุดท้าย ต่อเนื่องจากที่ผ่านมาที่ว่า เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ เงินซื้อสิ่งต่างๆได้ แต่ซื้อความสุขไม่ได้ แต่เงินยังถูกใช้เป็นพระพรด้วย เช่น โยเซฟ ทำวีรกรรมช่วยให้ชาวอียิปต์ และชาวอิสราเอล ให้พ้นวิกฤตกันดารอาหารถึง 7 ปี ได้รับตำแหน่งยิ่งใหญ่ดูแลราชการแทนฟาห์โรห์ในยุคนั้น มีอำนาจและทรัพย์สินมากมาย
แต่ที่น่าระวังคือ เงินเป็น “การทดลอง (ใจ)” ระวังหลงทำบาป ไม่ว่าจะเป็นยามลำบาก หรือ ทำบาปเพราะรางวัลล่อใจนั้นใหญ่เกินห้ามใจ
ในครั้งนี้ ผมจะปิดท้ายด้วยบทเรียน “อย่าให้เงินอยู่ที่ใจ...แต่ให้ใจอยู่กับพระองค์” ดังข้อพระคัมภีร์ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้” ดังนี้
1.มีชีวิต “พอเพียง” อย่างชื่นชมยินดี ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างดี และทรงประทานให้แก่มนุษย์คู่แรก คือ อาดัม กับ เอวา ให้ครอบครอง โดยมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ยกเว้นไม่ให้รับประทาน พระเจ้าทรงเห็นว่า “ดีนัก” หากมนุษย์รู้จัก “พอเพียง” แม้มีบางอย่างที่ไม่ได้ ก็จะเห็นตามพระเจ้าว่า “ดีนัก” และ “พอเพียง” อย่างชื่นชมยินดี
แต่ซาตานไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ให้อะไร เพียงแค่ถามว่า “ที่พระเจ้าให้นั่น พอแล้วหรือ ?” เท่านี้ ก็ได้ครองใจอาดัมกับเอวา แล้วมันก็ทำสำเร็จ คือ ทำให้มนุษย์ ไม่มีความ “พอเพียง” โลภมากกว่าสิ่งที่มี และชีวิตก็เป็นทุกข์
2.อย่าโลภ = อย่าเปรียบเทียบ ในธรรมบัญญัติ 10 ประการข้อสุดท้าย มีอยู่ว่า “อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน”
ในความเห็นผม ความเชื่อที่ว่า มีสมบัติมากจะมีความสุขมาก จึงอาจเป็นหลุมพรางให้คนคิดว่า “ถ้าเราหล่อสวยกว่านี้ ก็คงมีความสุข” “ถ้าเรารวยกว่านี้ ก็คงมีความสุข” หรือ “ถ้าเราเก่งกว่านี้ ก็คงมีความสุข” นั่นก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้
ผมเองอยากขยายวิธีคิดว่า ไม่ใช่เพียง “อย่าโลภ” แต่รวมถึง “อย่าเปรียบเทียบ” เพราะ เราทุกคนก็เห็นได้ว่า เพียงแค่คิดเปรียบเทียบ แม้ใจเราจะสูงพอที่จะไม่โลภ แต่การคิดเปรียบเทียบสมบัติภายนอกนั้น ก็มักจะเป็นจุดเริ่มแห่งความทุกข์ใจ
3.อย่าหลงทางบาป มีหลักพระคัมภีร์ที่เตือนให้รักษาความชอบธรรม ว่า “อย่าให้ใจของเจ้าริษยาคนบาป แต่จงดำเนินในความยำเกรงพระเจ้าวันยังค่ำ” เพราะหลายคนเป็นคนดี แต่เมื่อรู้สึกว่า ทำไมคนบาป คนโกงจึงได้ดี ก็เริ่มไขว้เขว และอาจหลงทางบาปไป
ซึ่งหลายครั้ง เป็นการมองไม่ครบด้าน เพราะจิตใจคนบาปคนโกงเหล่านั้น จะมีความสุขจริงหรือไม่ ? จะเศร้า จะทุกข์ จะเครียด จะกังวลใจ จะกลัวเข้าคุกเพียงใด ? และที่เราแน่ใจได้คือ เมื่อจบชีวิตนี้ไปแล้ว ทุกคนก็จะมีภาระต่อการพิพากษาของพระเจ้าทุกๆคนอย่างเป็นธรรม จึงไม่ควรที่เราจะไปลำบากใจ หรือริษยาคนบาป แต่รักษาใจให้บริสุทธิ์ไว้
4.อย่าเสี่ยงเกินไป มีหลักพระคัมภีร์ที่เตือนเรื่องความเสี่ยงว่า “ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กทีละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น” หลายคนหวังรวยทางลัด แต่จริงๆแล้ว ความสำเร็จเกิดจากการสะสมทีละเล็กทีละน้อยอย่างมุ่งมั่นเข้มแข็ง และจะได้พระพรอย่างที่จริง
5.ให้ใจอยู่กับพระองค์ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
พระเยซูคริส์ทรงสอนมนุษย์ในคำเทศนาแรกคือ “ผู้เป็นสุข”
“บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา”
“บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม”
“บุคคลผู้ใดมีใจถ่อมอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”
หากเราตีความได้ดี เราจะเข้าใจว่า ที่เราเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข เราอาจจะโทษอดีต โทษชะตา โทษคนโน้น โทษคนนี้ แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราเริ่มคิดได้ว่า เราเองก็อาจบกพร่องฝ่ายวิญญาณ เราทำอะไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง ที่สำคัญที่สุด เราพอเพียงอย่างชื่นชมยินดีกับความไม่สมบูรณ์ของทุกสิ่งได้หรือไม่ จะว่าไป
“ทุกสิ่งในโลก ถูกสร้างมาให้ดูเหมือนมีความไม่สมบูรณ์ ก็เพื่อให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์”
ถ้าเราคิดได้ว่า ไม่ควรโทษใคร โทษอะไร ทุกสิ่งที่มีทั้งส่วนดี ส่วนไม่ดีนั้น เราก็พอใจ และขอบพระคุณพระเจ้าได้เสมอ ขณะที่เราเป็นคนบาป พระองค์ทรงสละชีวิตเพื่อเรา ไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ คือการที่คนๆหนึ่งสละชีวิตเพื่อสหายของตน
ถ้าเรามีความสุขได้ในทุกเรื่องแม้เรื่องเล็กๆ เราก็จะมีความสุขแท้ตลอดไป แม้เรามีความทุกข์ พระองค์ก็จะทรงปลอบประโลมเรา และเมื่อเรามีใจถ่อมอ่อนโยน เราจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
มีคนถามพระเยซูว่า “พระบัญญัติข้อใหญ่คืออะไร ?” พระองค์ตรัสตอบว่า
“ข้อแรก รักพระเจ้าสุดใจสุดจิต และสุดกำลังความคิด” และ
“ข้อสองก็เหมือนกัน คือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
ถ้าเรารักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ เราจะรักทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ และขอบคุณพระเจ้าได้เสมอ แม้เราจะพบปัญหาที่ยาก ก็อาจมีพระพรซ่อนอยู่ เช่นน้ำท่วม น่าจะทำให้คนไทยเห็นความรักแท้ต่อกัน ไม่แบ่งแยก ทหารเป็นของประชาชน ไม่มีชนชั้น ไม่มีอำมาตย์ ไม่มีไพร่ สังคมไทยก็อาจได้คุณค่าแห่ง “ความรู้รักสามัคคี” กลับมาได้
ถ้าเรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง สังคมก็สงบสุข เราเองก็มีความสุข
จึงสรุปได้ว่า เงินเป็นการทดลองใจ “อย่าให้เงินอยู่ที่ใจ...แต่ให้ใจอยู่กับทางชอบธรรม” ครับ
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
ที่มาภาพ : http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/59304.html