น้ำท่วมหนักอย่างนี้ มีกำลังใจให้กันนะคนไทย
เป็นเรื่อง Talk of the town ของคนไทยมาแล้วเป็นเดือนๆ และคาดว่าคงยังเป็นต่อไปอีกเป็นเดือน น้ำท่วมใหญ่จริงๆ แก้ปัญหากันวันต่อวัน ผ่านเรื่องนี้ ไปเรื่องนั้น เหมือนตามปัญหาไม่ทันตลอดมา ผู้คนก็เริ่มล้า ก็ขอให้เป็นเวลาให้คนไทย "รู้รักสามัคคี" ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย วันนี้ ผมก็มีกำลังใจมาให้ท่าผู้อ่านดังนี้ครับ
1. น้ำท่วมหนักอย่างนี้ มีกำลังใจให้กัน ในยามลำบากอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่ดีกว่ากำลังใจให้แก่กันและกัน ผมชอบใจกับ "จดหมายจากน้องน้ำถึง พี่กรุง" มีความว่า
"น้ำรู้ว่าพี่กรุงไม่ต้องการน้ำแล้ว รู้แล้วว่าพี่มีความสุขดีโดยที่ไม่มีน้ำ แต่พี่กรุงจำได้หรือป่าวว่าเราเคยมีความสุขกันมากขนาดไหน และน้ำรู้ว่าพี่ไม่พอไจที่น้ำกลับมาหาพี่ ถึงแม้ที่ผ่านๆมาน้ำทำไม่ดีกะคนอื่นมา แต่น้ำอยากไห้รู้ว่าน้ำใช้เป็นทางผ่านเพื่อมาหาพี่กรุง ตอนนี้น้ำทำได้ดีที่สุดก็แค่อยู่ รอบๆตัวพี่กรุง แต่ไห้พี่รู้เอาไว้ว่าสักวันน้ำจะเข้าไปหาพี่กรุงไห้ได้ เราจะมีเวลายุ่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน น้ำอยากไห้พี่กรุงรู้เอาไว้ว่าน้ำจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจและตัดใจจากพี่กรุง ถึงแม้ผู้ใหญ่ของพี่จะผลักดันน้ำให้ออกห่างจากพี่กรุงก็ตาม แต่น้ำไม่แคร์!!! ถึงแม้ใครจะด่าน้ำหน้าด้าน เบื่อน้ำเกลียดน้ำ น้ำก็จะไปอยู่กะพี่กรุงไห้ได้ พี่กรุงคอยดูและกัน
ปล. ฝากบอกอินังทรายด้วยว่าน้ำไม่ยอมแพ้มันง่ายๆ หรอก ชิส์ ... จาก น้ำ"
ผมอ่านแล้วฮาโรแมนติคใช้ได้เลย ขอชมเชยผู้แต่งด้วยนะครับ เวลาอย่างนี้ ความพร้อมที่จะยังคงมองโลกในแง่บวกเป็นเรื่องสำคัญ ผมนึกถึงคำสอนที่ว่า "ไม่ว่าลำแสงสว่างจะริบหรี่เพียงใด ตราบที่เรามองไปที่แสงสว่าง เราก็จะไม่เห็นความมืด" การมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่การมองข้ามปัญหา การมองโลกในแง่ดีก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา แต่การมองโลกในแง่ดี จะทำให้เราเผชิญปัญหาได้ด้วยสภาพจิตใจที่พร้อมมากกว่า
2. รู้รักสามัคคี ไม่แบ่งสี แต่แบ่งปัน บรรยากาศอย่างนี้ คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง “รู้รักสามัคคี” มีความสำคัญที่สุด รายการทีวี ก็ขึ้นตัวหนังสือสวยงามว่า “ไม่แบ่งสี แต่แบ่งปัน” อดีตนายกฯเองก็ให้สัมภาษณ์ทางไกลว่า อยากให้แก้ปัญหา “โดยหันหน้าเข้าหากัน”
หากน้ำท่วมครั้งใหญ่ จะทำให้คนไทยกับมารักกัน ก็ถือว่าคุ้มค่าส่วนหนึ่ง คนที่เคยใช้ความเท็จสร้างความแตกแยก ควรสำนึกได้แล้ว เคยกล่าวหาว่า “ทำไมทหารต้อง ‘ฆ่า’ ประชาชน ?” ราวกับว่า ประชาชนไม่มีทางสู้ แต่ทหารกับรังแกประชาชน แม้จะอ้าง 6 ศพในวัดปทุมฯ ที่ไม่ชัดเจนว่า สาเหตุเกิดจากอะไร ? แต่ภาพที่ทหารช่วยกันส่งประชาชนกว่า 3,650 คนกลับไม่กล่าวถึง
วันนี้ ทุกคนได้เห็นชัดว่า ทหารของพระราชา ก็คือ ทหารของประชาชน น้ำท่วมถึงไหน น้ำท่วมแค่ไหน ยังเห็นทหารของพระองค์ถือถุงพระราชทาน และความช่วยเหลือทุกด้านเข้าไปถึงประชาชน ไม่มีแบ่งสี แบ่งฝ่าย
หยุดเถิด กับการสร้างความเกลียดชัง เพียงหวังได้เสียงแห่ง “ความเกลียดชัง” เป็นของตัว เพราะ “คนไทยที่น่าเกลียดที่สุด คือคนที่ทำให้คนไทยเกลียดกัน”
ผมแปลกใจกับวาทกรรมของอดีตผู้นำผู้อยู่ไกล ที่บอกว่า น้ำท่วมใหญ่มากจน “ข้าราชการ” ไม่เคยเจอ ราวกับว่า นักการเมืองที่อาสาเข้ามา ไม่ได้มีหน้าที่แก้ปัญหาเรื่องนี้ จะว่าไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องระดับสึนามิ ที่มาโดยไม่รู้ตัว เป็นเรื่องที่รัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลตั้ง 3-4 เดือนแล้วเป็นอย่างน้อย แต่ปัญหายังดูเป็นการแก้วันต่อวัน สัญญาณเตือนก็ยังทำไม่ได้ดี นิคมอุตสาหกรรมต้องสูญเสียไปมากมาย จึงไม่เหมาะที่จะเพียงแต่หา “ข้าราชการ” มาเป็น “แพะรับบาป”
และอดีตผู้นำ ยังจะบอกอีกว่า จะนำการแก้ปัญหาระยะยาว ด้วยหลักการ “ฟรีเวย์” ผมไม่แน่ใจว่า ตั้งใจจะพูดถึง “ฟลัดเวย์” หรือเปล่า เวลาแห้งเป็นถนน เวลาน้ำมาเป็นการป้องกันน้าท่วมและการระบายน้ำ ก็เป็นดังแนวพระราชดำริที่มีมายาวนานอยู่แล้ว หยุดเถิด กับคำพูดเท็จที่ว่า ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครแก้ไขปัญหาระยะยาว
รัฐบาลก็ต้องพบกับปัญหามากมายมาอย่างต่อเนื่องทุกรัฐบาล ปีที่ผ่านมา น้ำก็ไม่น้อย แต่การบริหารน้ำและแก้ไขปัญหาก็ทำได้เรียบร้อย การเตรียมการระยะยาวมีทั้งอุโมงค์น้ำยักษ์ มีการกั้นแนวพนังกันน้ำ ซึ่งไม่ใช่ทำให้ท่วมเพิ่ม แต่เท่ากับขยายท่อเจ้าพระยา และลำคลองต่างๆให้ส่งน้ำไปทะเลได้กว้างขึ้น โครงการพระอัจฉริยะอย่าง “คลองลัดโพธิ์” ก็เป็นสิ่งที่ทำมานาแล้วและได้ผลดี
จึงไม่ควรที่จะสร้างความรู้สึกเหมือนปัญหาครั้งนี้ เป็นเพียงเรื่องข้าราชการ หรือเป็นเพราะไม่มีใครทำมาตั้งแต่อดีต แต่เป็นเวลาที่น่าจะสร้างความ “รู้รักสามัคคี” อย่างแท้จริง ให้คนไทยที่ไม่เข้าใจกัน เข้าใจกันมากขึ้น และร่วมแรงร่วมใจแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ต่อไปครับ