ความรับผิดชอบกับวิกฤติที่เกิดจากความล้มเหลวของ "ผู้นำ"
วิกกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศครั้งนี้ ด้านหนึ่งเป็นปัญหาภัยธรรมชาติ แต่อีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าเป็นความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำของ ศปภ.ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ซึ่งแทนที่จะบริหารจัดการน้ำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด กลับเป็นว่ารัฐบาลบริหารจัดการน้ำที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมดหรือเสียหายมากกับประเทศ เช่น น้ำไม่ควรท่วมโรงพยาบาลที่ทุกคนต้องใช้ยามมีภัยพิบัติ น้ำไม่ควรท่วมนิคมอุตสหกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตคนงานอย่างมหาศาล หรือน้ำต้องไม่ไหลเข้าคลองประปาเพื่อไม่ให้มีปัญหากับการผลิตน้ำดื่มที่จะเป็นกับชีวิตคนจำนวนมาก ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงสถานที่เหล่านี้น้ำท่วมหมด
การบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ก่อผลเสียหายเกือบทุกๆ ด้านของประเทศและส่งผลสะเทือนต่อความเป็นผู้นำและความเชื่อมั่นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเชื่อถือในคำพูดหรือคำสั่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีใครฟังหรือเชื่อถือไม่ได้ ข้าราชการอาจจะรับคำสั่งแต่ไม่ปฏิบัติ "เอาอยู่ ปลอดภัย น้ำไม่ท่วม" คำพูดเหล่านี้ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดออกมาก็ไร้ความหมาย อย่างไรก็ตามจากคำบอกเล่าของแหล่งข่าวที่ไปพบเห็น สภาพการทำงานใน ศปภ.และ การตัดสินใจแก้วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ของประเทศต่อไปนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงความไม่เป็นผู้นำในการรับมือจากวิกฤติออกมาชัดเจนที่สุด วิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ได้ตอกย้ำว่าเธอไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ ไม่มีบารมี และใช้คนไม่ตรงกับงาน นั่นคือความจริงที่พบเห็นได้ทุกวัน
แหล่งข่าวจากแกนนำ 111 คนหนึ่งได้สะท้อนให้เห็นภาพการทำงานของ ศปภ.ที่เขาต้องรีบถอนตัวออกทันที่ที่ได้เข้าไปพบเห็นตั้งแต่วันแรกว่าเห็นภาพ "ความไร้ชีวิตชีวาของคนใน ศปภ.ไร้แกนนำที่ตัดสินใจ ไร้ความเอกภาพในการทำงาน ขาดเจ้าภาพในการรับผิดชอบ จัดคนผิดไม่ตรงกับงาน" แกนนำคนนี้ตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่ง เพราะจะทำให้เสียงานได้ และที่น่าตกใจในภาวะที่วิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศเขาไม่เห็นภาพการตัดสินใจการแก้ปัญหาแบบวันต่อวัน เหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ ปัญหาต่อปัญหา ซึ่งคนในศปภ. รัฐมนตรีในรัฐบาลยังคิดทำงานกันแบบปกติ
ซึ่งแกนนำ 111 กลุ่มนี้มองเห็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการบริหารจัดการน้ำท่วมจึงเลือกมองดูอยู่ห่างๆ มากกว่าที่จะกระโจนเข้าไปช่วยเช่นเดียวกับกลุ่มแกนนำ 111 อีกกลุ่มที่ยังนั่งช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็มีเสียงบ่นเหมือนกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ค่อยนำข้อเสนอแนะของพวกเขานำไปปฏิบัติหรือหากนำไปใช้ก็จะช้ากว่าช่วงเวลาที่ควรจะเป็น
ล่าสุดกลุ่มนี้มีการประชุมกันที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมาก็สรุปว่าตอนนี้สถานภาพความเป็นผู้นำของน.ส.ยิ่งลักษณ์มีปัญหามาก เพราะสั่งการอะไรข้าราชจะตอบรับว่าครับๆๆ แต่ไม่ปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมาก ที่เป็นเช่นอาจเป็นเพราะความมีประสบการณ์และบารมี ความรู้ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ทำให้ข้าราชการไม่เชื่อก็ได้หรือไม่อีกด้านไม่พอใจคนเสื้อแดงที่มีตำแหน่งในกระทรวงต่างๆไปกร่างใส่ข้าราชการ ทำให้ไม่มีใครต้องการทำงานให้ เช่นเดียวกันหากฟังแหล่งข่าวจากข้าราชการระสูงของกรมชลประทาน ก็จะสะท้อนออกมาว่าแผนงานระบายน้ำที่นำเสนอต่อ ศปภ.กว่าจะได้รับการตัดสินใจเพื่อนำไปปฏิบัติจะช้าอย่างต่ำ 1- 2 สัปดาห์ นำเสนอแล้วไม่มีการตัดสินใจ ไม่เชื่อข้อมูล ซึ่งนำมาสู่ความเสียหายตามมามากมาย และมีการนำเสนอให้มีการระบายน้ำมานานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาแล้วด้วยแต่ไม่ได้รับความสนใจ
นอกจากนี้เมื่อกรมชลฯ นำเสนอปัญหาให้ ศปภ.แก้ปัญหาเรื่องมวลชนที่มารื้อหรือทำลายแนวกั้นน้ำคลองต่างๆ หรือการเปิดปิดประตูน้ำ ก็ไม่ค่อยสำเร็จเช่นช่วงมีปัญหาบริเวณ คลอง 1 คลอง 2 มีการถ่ายรูปมือปืนที่ยิ่งปืนขู่เจ้าหน้าที่กรมชลฯ มาให้พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผอ. ศปภ.แก้ปัญหากว่าจะผ่านไปได้ต้องใช้เวลานานมากเช่นเดียวกับที่ประตูน้ำหนอกจอก และประเวศที่มีมวลชนทั้งจากสมุทรปราการและฉะเชิงเทราก็ออกมาคัดค้านเจ้าหน้าที่กรมชลฯก็ถูกตามล่า
แหล่งข่าวระดับสูงจากรมชลฯบอกว่าเรื่องเหล่านี้พอนำมาเสนอในศปภ.ฝ่ายการเมืองบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องมวลชน พวกเขาพาไปดูก็ได้ทั้งที่ปทุมธานี หรือที่ใดก็ตาม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่กรมชลฯเข้าไปหลังจาก ส.ส.ออกมาเหตุการณ์ก็เหมือนเดิม หรือบางพื้นที่ ศปภ.สั่งการไปแต่ ส.ส.ในพื้นที่ไม่เห็นด้วยเริ่มตั้งแต่อยุธยา ปทุมธานี เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการระบายน้ำที่ไม่เป็นไปตามแผนทั้งสิ้น ทำให้การระบายน้ำไปฝั่งตะวันออกไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
เช่นเดียวกันการผันน้ำไปฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านแม่น้ำน้อยและแม่น้ำท่าจีน หากเปิดประตูน้ำเต็มที่ทุกบานจะมีปัญหาน้ำท่วมจังหวัดนนทบุรี นครปฐมและฝั่งธนบุรี เพราะแม่น้ำท่าจีนการผันน้ำลงทะเล ยากลำบากบวกกับฝั่งตะวันตกมีพื้นที่สูงชัน กรมชลปประทานก็ทักท้วงแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เชื่อนักวิชาการคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ปรึกษา ศปภ.และพวกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยที่ต้องการเห็นสุพรรณบุรีท่วม ก็ไม่ยอมฟังให้ผันน้ำไปฝั่งตะวันตกอย่างเต็มที่ น้ำจึงท่วมฝั่งธนบุรีและจังหวัดเหล่านี้หมดเลย
ซึ่งเรื่องนี้มีแหล่งข่าวบอกว่านายธีระ วงศ์สสมุทร รัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯได้พูดกะแหนหลังน้ำท่วมนนทบุรี นครปฐมและ กทม.ฝั่งธนบุรีเกือบทุกเขต ว่า "สะใจแล้วใช่มั๊ยที่เห็นน้ำท่วมฝั่งตะวันตกและฝั่งธนบุรี" และขออำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มาระบายน้ำด้วยตัวเอง
ซึ่งความจริงแล้วมีเรื่องราวอีกหลายตัวอย่าง ที่น่าตลกก็มีเช่นวันที่ไปยึดกุญแจประตูน้ำพระอินทร์จาก กทม.มาได้คนใน ศปภ. เฮกันลั่นห้อง ที่ได้รับชัยชนะจาก กทม. พล.ต.อ.คนหนึ่งโยนกุญแจดอกดังกล่าวในมือไปมา โดยมีคนอื่นส่งเสียงหัวเราะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกคำสั่งโดยใช้มาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องการกันสาธารณะภัย มอบอำนาจให้รองอธบดีกรมชลฯ คนหนึ่งถือกุญแจและใช้อำนาจแทนนายกรัฐมนตรีในการเปิดปิดประตู แต่ดูเหมือนคำสั่งดังกล่าวก็ไร้ผลเมื่อน้ำทะลักเข้ารังสิตและดอนเมือง
หรือตัวอย่างการเปิดบ้างปิดบ้างของคลองสามวาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่างที่ดีมากว่าเธอมีปัญหาในการใช้อำนาจในการบริหารจัดการน้ำครั้งนี้จนทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเสียงอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม ไม่ตัดสินใจหรือไม่ก็ตัดสินใจ สะเปะสะปะในการแก้วิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้ แต่แค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวิกฤติน้ำของ ศปภ. ได้เป็นดี ปัญหาด้านหนึ่งเกิดจากความอืดอาดยืดยาดและความไม่เข้าใจและไม่มีประสบการณ์มาก่อนของพล.ต.อ.ประชา พรหมนอกในฐาน ผอ.ศปภ.ในเรื่องการจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่ในเรื่องน้ำ เพราะกลไกของกระทรวงยุติธรรมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำเลย ซึ่งกลไกข้าราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ปกครองท้องถิ่น ทรัพยากร เครื่องมือ กำลังคนอยู่กระทรวงมหาดไทยทั้งหมด ทำให้การเป็น ผอ.ของพล.ต.อ.ประชา ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
อีกด้านหนึ่งเป็นปัญหาความไม่รู้และไม่มีประสบการณ์ และเป็นผู้นำไม่มีบารมีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าใช้อำนาจบริหารในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่ ไม่รู้จักและเข้าใจกลไกราชการ อย่างดีพอ ไม่มีใครเชื่อในความเป็นผู้นำของเธอ
ทำให้ภาพที่ออกมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ทีมที่ปรึกษาของเขาวางไว้ให้มุ่งเน้นบริหารภาพพจน์ของตัวเองมากกว่าจึงทำให้การวางยุทธศาสตร์ในการรับมือกับวิกฤติน้ำมีทิศทางที่เป็นเอกภาพได้ และรัฐมนตรีที่มีอยู่ก็ไม่มีศักภาพเพียงพอที่จะนำคำสั่งไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปัญหาด้านถัดมาความเป็นเอกภาพในพรรคเพื่อไทย ความเห็นอันหลากหลายของกลุ่ม 111 ที่นำเสนอความเห็นเพื่อได้หน้า และติดกับดักความต้องการอันไม่จำกัดของมวลชนคนเสือแดงในเรื่องของบริจาค ทำให้เป็นปัญหาพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมในการรับมือกับปัญหาครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม กทม.ชั้นในคือแนวต้านสุดท้ายว่าน้ำจะท่วมหรือไม่ แต่ดูเหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์และ ศปภ.ยอมรับสภาพไปแล้วว่ายากที่จะป้องกันไม่ให้น้ำท่วมได้ ท่วมมากท่วมน้อยเท่านั้น
ซึ่งตอนนี้ รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หันมาพูดเรื่องการเยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วม มุ่งเข้าสู่หมวดฟื้นฟู เยียวยา ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูประเทศเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศที่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำและหากปล่อยน้ำเข้ามาท่วมเขตชันในของ กทม.ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ถึงวันนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลของเธอก็ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบทางการเมืองไม่ได้เช่นเดียวกัน