อุทกภัย : ชะตาฟ้าลิขิต หรือ บริหารผิดพลาด ปลุกชาวบ้านรวมพลังฟ้องรัฐ
อุทกภัย : ชะตาฟ้าลิขิต หรือ บริหารผิดพลาด ปลุกชาวบ้านรวมพลังฟ้องรัฐ!
โดย ชาวบางบัวทอง
ช่อง ๓ : ร่วมฝ่าวิกฤตมหาอุทกภัย
ช่อง ไทยพีบีเอส : ฝ่าวิกฤตน้ำท่วม
ไม่ว่าใครจะเรียกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและนำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนี้ว่าอย่างไรก็ตาม แต่ยังมีคนบางคนที่ยอมรับไม่ได้ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะนี้เรียกว่า “อุทกภัย” เพราะอุทกภัยควรจะเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จนไม่สามารถระบายน้ำได้ทันแล้วเกิดน้ำท่วมขึ้นในพื้นที่ที่มีฝนตก
ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับจังหวัดทางภาคอีสานเช่นที่จังหวัดนครราชสีมา หรือที่เคยเกิดขึ้นกับภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือแม้แต่ที่เกิดขึ้นกับภาคใต้ที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายภาคหลายจังหวัดนั้นแตกต่างกับที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ภาคกลางในวันนี้อย่างสิ้นเชิง
เพราะเหตุใดจึงต้องตั้งต้นจากการไม่ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้คือ “อุทกภัย” เพราะถ้าเรายอมรับว่าเป็นอุทกภัย ก็จะทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นภัยธรรมชาติซึ่งมนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และจำเป็นต้องสยบยอมรับกับผลของความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะไม่รู้ว่าจะไปเช็คบิลเอากับใคร ต้องยอมรับเงิน ๕,๐๐๐ บาท ที่รัฐบาลประกาศว่าจะให้เป็นเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย โดยไม่มีโอกาสตั้งคำถามกับรัฐบาลว่าเอาอวัยวะส่วนไหนมาคิดว่าผู้ประสบภัยแต่ละรายได้รับความเสียหายเป็นมูลค่าเท่ากับเงิน ๕,๐๐๐ บาท
หลายคนสูญเสียชีวิต ที่ตีเป็นราคาหรือมูลค่าไม่ได้ ทุกคนที่เป็นผู้ประสบภัยสูญเสียทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เสียสภาวะการดำรงชีวิตที่เป็นปกติ ที่คำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้ และไม่มีทรัพย์สินชิ้นไหนที่ราคาต่ำกว่า ๕,๐๐๐ บาทสักชิ้น
หรือว่าเงิน ๕,๐๐๐ บาทถือเป็นค่าซื้อกระสอบทรายที่มีราคาสูงถึง ๕๐ บาท ที่ขาดแคลนในยามที่ต้องการซึ่งเจ้าของบ้านหลายคนจำทนต้องยอมซื้อโดยรัฐไม่สามารถควบคุมราคาได้จริงนอกจากจัดฉากให้เป็นสินค้าราคาแนะนำ แต่จำใจยอมต้องซื้อมันด้วยความหวังว่าจะลดหรือบรรเทาความเสียหายให้แก่ตัวเองได้ ซึ่งในที่สุดกระสอบทรายเหล่านั้นก็เป็นแค่วัสดุที่ช่วยทำให้ความรู้สึกผิดในจิตใจลดน้อยลงไปว่า “ได้ทำการป้องกัน”แล้วเท่านั้น
แต่ถ้าเราใช้คำว่า “ฉุกคิด” หรือ “คิดนอกกรอบ” เพิ่มขึ้นมากอีกสักนิด เราก็จะได้พบว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการแล้วเกิดความผิดพลาดของมนุษย์ หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าเป็น “การบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด” เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ เช่นฝนตกต่อเนื่องกันหลายวันในจังหวัดต่างๆไล่ลงมาตั้งแต่ลพบุรี นครสวรรค์ ชัยนาม สิงห์บุรี อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพ และจะต้องไปสิ้นสุดที่ เมืองสมุทร(สาคร,ปราการ) ทั้งหลาย หรือเป็นน้ำท่วมซึ่งประชาชนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จำเป็นต้องยอมรับน้ำฝนที่ตกลงมาและมากเกินกว่าปกติไหลเอ่อล้นจากทางน้ำแล้วเข้าท่วมบ้านของตนเอง
แต่เส้นทางการเดินทางของน้ำไล่กันลงมาจากเหนือสู่ใต้ในครั้งนี้ปรากฏเป็นผลชัดเจนว่า เกิดจากการตัดสินใจบริหารจัดการน้ำในเขื่อนใหญ่หลายเขื่อนที่ผิดพลาด จนเขื่อนไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้เพราะเกินกำลังความสามารถที่มีอยู่ ต้องปล่อยให้เอ่อล้นและไหลลงท่วมบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ด้านล่างเขื่อน และถึงแม้ว่าจะรู้ว่าน้ำกำลังไหลจากเขื่อนลงมาสู่พื้นดินที่ต่ำกว่าผู้รับผิดชอบก็ไม่เคยมีมาตรการใดๆในการเตือนภัยให้ประชาชนได้รู้ว่า กำลังจะเกิดเหตุการณ์น้ำไหลเข้าท่วมบ้านเมืองกันได้มากมายขนาดนี้
ผู้ประสบภัยจากอยุธยาเล่าให้ฟังว่า เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จากพื้นดินที่แห้ง กลายเป็นน้ำท่วมขึ้นถึงเอวได้อย่างรวดเร็วจนไม่สามารถเก็บสิ่งของใดออกจากบ้านได้เลย มีเพียงแต่กระเป๋าหิ้ว สุนัข และตัวเองเท่านั้น จนต้องตกอยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว โดยไม่รู้ว่าจะไปเช็คบิลที่ใคร (ถ้ายอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นภัยธรรมชาติ)
ถ้าเราเปลี่ยนความคิดเป็นการไม่ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้เป็นอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติ จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในทุกระดับ ตั้งแต่การทำงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองจากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ การทำงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อประชาชนของนักการเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือแม้แต่รัฐบาล และต่อเนื่องไปถึงการมีผู้รับผิดรับชอบอย่างเป็นระบบ เพื่อถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทุกคนที่ต้องรับผิดชอบต้องจ่ายสำหรับความเสียหายที่มากมายขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพียง ๓,๑๐๖ ล้านบาท (เงินที่มาจากภาษีของผู้ประสบภัยเอง)ตามที่รัฐบาลอนุมัติงบให้ ๓๐ เขต หรือ ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือนที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อปิดปากพวกเสียงดังกว่าไปเท่านั้น
กล่าวคือ ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เรียกว่า อุทกภัย แต่เป็นการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ ซึ่งหมายความว่า ผู้เสียหายสามารถเช็คบิลกับผู้บริหารที่ทำผิดพลาดนั้นได้โดยใช้สิทธิผ่านทางศาลปกครอง เพราะเป็นคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ด้วยการละเลยไม่ควบคุมน้ำในเขื่อนให้อยู่ในปริมาณเหมาะสมตามกำลังความสามารถในการรองรับน้ำของเขื่อนแต่ละแห่ง เมื่อมีความจำเป็นต้องปล่อยน้ำให้ล้นหรือระบายออกจากเขื่อนก็บริหารจัดการน้ำไม่ให้ไหลไปในทางน้ำตามธรรมชาติที่กำหนดไว้
หรือเมื่อน้ำเอ่อล้นก็ใช้วิธีการกักกันน้ำให้ไปในทิศทางที่ไม่เหมาะสม เช่นการผันน้ำไปในบริเวณที่ไม่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อการรองรับการระบายน้ำออกสู่ทะเลเช่น ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ในทางการเมืองของแต่ละฝ่ายเป็นสำคัญมากกว่าความเดือดร้อนของประชาชน
หรือเมื่อทราบว่าน้ำมีปริมาณมหาศาลต้องไหลผ่านกรุงเทพมหานครเพื่อลงสู่ทะเลก็ไม่ปรากฏว่ามีการขุดลอกคูคลองเพื่อเตรียมการรับน้ำ หรือจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ให้เพียงพอต่อการระบายน้ำจำนวนมาก มาทวงเครื่องสูบน้ำจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามผ่านสื่อมวลชนให้ประชาชนต้องทนรับฟัง
ไม่มีการบริหารจัดการให้มีการเตรียมเครื่องสูบน้ำสำรองไว้จำนวนมากพอที่จะผันน้ำออกได้อย่างรวดเร็ว แทนการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆจนกว่าจะค้นพบวิธีที่ดีที่สุดอย่างปราศจากหลักการรองรับ หรือแม้กระทั่งล่าสุดที่เปลี่ยนความคิดจากการเจาะถนนเพื่อให้น้ำระบายลงทะเลให้เป็นน้ำไหลท่วมถนนสายหลักสายสำคัญสุดท้ายที่เชื่อมต่อกับภาคใต้ คือถนนพระราม ๒ แล้วกู้ถนนสายตลิ่งชัน – สุพรรณบุรี หรือ ถนน ๓๔๐ เพื่อเป็นถนนรองทดแทนถนนหลัก ซึ่งแนวคิดในการกู้ถนนสายนี้หมายความถึงการต้องสูบน้ำจำนวนมากออกจากถนนนี้เพื่อทิ้งไปยังบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่สองข้างทางซึ่งหมายความถึงพื้นที่อำเภอบางบัวทองซึ่งวันนี้ระดับน้ำเริ่มลดลงให้ต้องกลับมารับภาระระดับน้ำที่จะต้องท่วมสูงขึ้นอย่างไม่รู้ว่าจะลดลงสู่สภาพเดิมได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้อำเภอนี้เป็นหน้าด่านแรกก่อนที่น้ำจะไหลเข้าท่วมกรุงเทพก็ไม่เคยได้รับการเตือนภัยจากภาครัฐแม้แต่ครั้งเดียว เป็นต้น
ตัวอย่างที่ยกมาประกอบในเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดนี้ เป็นวิธีคิดและการตัดสินใจของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นทั้งสิ้น โดยเห็นได้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วมที่ไหนไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่อยู่ที่การบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลทั้งสิ้น
แล้วอย่างนี้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ขณะนี้ และที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาครที่จะต้องพบกับการบริหารจัดการอย่างนี้เป็นจังหวัดต่อไป ยังจะนิ่งดูดายแล้วยอมรับว่า นี่เป็น “ชะตาฟ้าลิขิต” หรือ “อุทกภัย” อยู่ต่อไป แล้วปล่อยให้เขาเบี่ยงน้ำไปเบี่ยงน้ำมาเข้าบ้านเราโดยไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเอง แล้วปล่อยให้คน........ลอยนวลต่อไปเช่นนั้นหรือ
สำหรับผู้ที่อ่านข้อความนี้แล้วเห็นด้วยที่จะใช้สิทธิของตนทางศาลปกครอง โปรดอย่านิ่งเฉยช่วยกันส่งเสียงสนับสนุนเพราะคนคิดต้องการแนวร่วมเพื่อสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่โดยคาดหวังว่าวิกฤตครั้งนี้จะมีอะไรใหม่ๆให้เปลี่ยนประเทศไทยที่ไม่ใช่การปกครอง แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบของนักการเมือง นักบริหารประเทศ ที่อยากทำงานใหญ่ มีหน้าใหญ่ มีคนเห็นว่าใหญ่ แล้วต้องรับผิดอย่างใหญ่ๆให้สมกับความอยากบ้าง
แผ่นดินจะได้สูงขึ้นหนีน้ำท่วมได้บ้างโดยอัตโนมัติ......หนีน้ำท่วมได้สำเร็จ