ด้วยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ รบ.ควรยุบสภาภายใน 3 เดือน
เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วดิฉันเผยแพร่บทความเรื่อง “ด้วยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ รัฐบาลควรยุบสภาภายใน 3 เดือน”เพื่อวิพากษ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ [1] วันนี้ดิฉันขอวิพากษ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยเหตุผลเดียวกัน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอภิสิทธิ์เหมือนก้นอย่างไร?
ทั้งสองรัฐบาลพยายามหาทางให้แบงค์ชาติเข้ามารับภาระดอกเบี้ยหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเกิดจากวิกฤตการเงินปี 2540 แม้ว่าปัจจุบันอดีตรมต.กรณ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเชิงลบ แต่สมัยอดีตรมต.กรณ์เป็นรมต.คลังอดีตรมต.กรณ์และอดีตรองนายกฯไตรรงค์ก็พยายามผลักภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้แบงค์ชาติเหมือนกันแต่ทำไม่สำเร็จก่อนยุบสภา การโยนภาระการคลังให้แบงค์ชาติจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ นโยบายดังกล่าวเหมือนนโยบายของรัฐบาลในประเทศละตินอเมริกาเมื่อ 30-35 ปีที่แล้ว ที่่ให้แบงค์ชาติพิมพ์แบงค์ให้รัฐบาลใช้หนี้จนเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอภิสิทธิ์เอาใจกองทัพด้วยการเพิ่มงบประมาณกลาโหม งบประมาณกลาโหมปี 2554 ซึ่งจัดสรรโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์รับช่วงมานั้นมีมูลค่า 1 แสน 7 หมื่นล้านบาท [2] นอกจากนี้ในระหว่างวิกฤตอุทกภัยที่ผ่านมากองทัพได้ส่งบิลเรียกเก็บค่าบรรเทาวิกฤตจากกระทรวงการคลังเพิ่มเติม (ท่ามกลางกระแส “รักพี่ทหาร”) รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติอย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณกลาโหมปี 2549 ซึ่งมีมูลค่า 8.6 หมื่นล้านบาทแล้วพบว่างบประมาณกลาโหมเพิ่มขึ้น 8.4 หมื่นล้านบาท คือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โปรดสังเกตว่างบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นมา 8.4 หมื่นล้านบาทนั้นมากกว่าภาระดอกเบี้ยจากหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 6.5 หมื่นล้านบาทที่รองนายกฯกิตติรัตน์และโฆษกรัฐบาลอ้างอิงเสียอีก
แม้ว่าทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอภิสิทธิ์บ่นว่าดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูฯเป็นภาระหนักหนาสาหัส แต่ทั้งสองรัฐบาลไม่เคยบ่นเรื่องภาระจากการเพิ่มงบประมาณกลาโหม ถ้าตัดงบประมาณกลาโหม 6.5 หมื่นล้านบาทเพื่อนำเงินไปชำระดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ กองทัพก็ยังจะได้งบประมาณมากกว่ายุคก่อนรัฐประหารถึง 1.9 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 22% ถ้ารัฐบาลคิดว่าการจ่ายดอกเบี้ยนานๆทำให้เสียทรัพยากรและรัฐบาลต้องการให้เงินต้นลดลงเร็วๆ รัฐบาลสามารถลดงบประมาณกลาโหมให้เท่าระดับก่อนรัฐประหารแล้วเอาส่วนต่างไปช่วยแบงค์ชาติชำระเงินต้นของหนี้กองทุนฟื้นฟูไปก่อนก็ได้
การอ้างว่าภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูเป็นภาระทางการคลังอันใหญ่หลวงเป็นเพียงการบิดเบือนประเด็นที่แท้จริง การผลักดันให้แบงค์ชาติีรับภาระดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟูฯโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอภิสิืทธิ์็คือการผลักดันให้แบงค์ชาติรับภาระงบประมาณกระทรวงกลาโหมที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากรัฐประหารนั่นเอง
ระหว่างกระทรวงการคลังและแบงค์ชาติใครควรรับผิดชอบมากกว่ากัน?
หนี้กองทุนฟื้นฟูฯเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต ประเด็นขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลังและแบงค์ชาติเกิดจากการออกพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯฉบับปี 2541 และฉบับปี 2545 กำหนดเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยระบุให้แบงค์ชาติเป็นผู้ชำระเงินต้นส่วนกระทรวงการคลังรับชำระดอกเบี้ย ทำให้รัฐบาลอ้างว่าเป็นภาระหนี้ที่ธปท.ต้องรับผิดชอบ บ้างก็ยกเหตุผลว่าแบงค์ชาติต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้กำกับสถาบันการเงินที่บกพร่องจนหนี้เสียมากมาย
ดิฉันคิดว่าการที่แบงค์ชาติเป็นผู้ชำระเงินต้นนั้นก็ชดเชยในส่วนนี้แล้ว ฝ่ายรัฐบาลก็ร่วมก่อหนี้เสียโดยการอนุมัติให้เปิดเสรีทางการเงิน แม้ว่าแบงค์ชาติเป็นผู้ตัดสินว่าธนาคารใดได้ใบอนุญาตประกอบวิเทศธนกิจ แต่การเปิดเสรีทางการเงินต้องผ่านการอนุมัติของรัฐบาล ถ้าฝ่ายการเมืองเสนอนโยบายแย่ๆแล้วแบงค์ชาติตอบสนองฝ่ายการเมืองเพราะกฎหมายอนุญาตให้รมต.คลังปลดผู้ว่าฯแบงค์ชาติได้ ก็แปลว่าฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือแบงค์ชาติ ฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าก็น่าจะต้องรับผิดชอบมากกว่า
อย่างไรก็ดี อดีตผู้ว่าฯเริงชัย มะระกานนท์โดนฟ้องร้องให้จ่ายค่าเสียหาย 1.86 แสนล้านบาท ศาลชั้นต้นตัดสินให้มีความผิดแต่ศาลอุทธรณ์ตัิดสินให้ยกฟ้อง คดีนี้ยังไม่สิ้นสุดเพราะต้องรอศาลฎีกาตัดสิน แต่ยังไม่มีอดีตรมต.คลังคนไหนโดนดำเนินคดีจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ความล้มเหลวของการขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินหรือปรส.เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯต้องรับภาระสูง กองทุนฟื้นฟูฯในบางประเทศ (เช่น สวีเดน)สามารถทำกำไรให้กระทรวงการคลังจากการขายทรัพย์สินของสถาบันการเงินเพื่อปฎิรูปสถาบันการเงินหลังวิกฤตการเงิน
ชัดเจนว่าความล้มเหลวของปรส.คือความล้มเหลวของฝ่ายรัฐบาล แต่คดีปรส.เพิ่งจะสืบพยานกันเมื่อปี 2 ปีที่แล้ว แล้วเราควรปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลรวบรัดออกกฎหมายผลักภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูหรือ? สุดท้ายแล้วภาระการคลังจะตกอยู่กับผู้เสียภาษีผ่านอัตราเงินเฟ้อ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะทำให้เงินบาทอ่อนลงแต่็นั่นก็จะไม่้มีผลดีต่อผู้ส่งออก เพราะอัตราเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นด้วย
โดยหลักการแล้วหนี้กองทุนฟื้นฟูฯมาจากสถาบันการเงิน ดังนั้นสถาบันการเงินก็น่าจะมีส่วนร่วมในการชำระหนี้ ถ้ากังวลว่าสถาบันการเงินจะผลักภาระให้ผู้บริโภคโดยการขึ้นค่าธรรมเนียม รัฐบาลและแบงค์ชาติสามารถออกกฎเพื่อป้องกันได้ อาทิ กฎเกณฑ์เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่างๆ ปัจจุบันค่าธรรมเนียมในระบบธนาคารไทยก็สูงกว่ามาตรฐานสากลอยู่แล้ว การกำหนดเพดานค่าธรรมเนียมไม่น่าจะทำให้ธนาคารไทยขาดทุน อย่างมากก็ทำให้กำไรลดลงเท่านั้น
ปริศนาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ
โปรดสังเกตว่าไม่มีการรายงานสรุปให้ชัดเจนว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรและมีโครงสร้างอายุหนี้อย่างไรบ้าง? ทั้งๆที่อายุหนี้และอัตราดอกเบี้ยมีความสำคัญต่อการประเมินสภาพหนี้
ถ้าเราใช้ข้อมูลยอดหนี้และภาระดอกเบี้ยก็พอจะคำนวณอัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยได้ จากข้อมูลที่รายงานโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก [3] หนี้กองทุนฟื้นฟูฯมีเงินต้น 1.4 ล้านล้านบาท แบงค์ชาติได้ชำระเงินต้นไปแล้ว 3 แสนล้านบาท ดังนั้นยังเหลือเงินต้น 1.1 ล้านล้านบาท ส่วนข้อมูลภาระดอกเบี้ยจากฝ่ายรัฐบาลนั้นไม่ชัดเจน รองนายกฯและรมต.คลังให้ข่าวไม่ตรงกัน รองนายกฯกิตติรัตน์ให้ข่าวว่าภาระดอกเบี้ยคือปีละ 6.5 หมื่นล้านบาท แต่รมต.ธีระชัยให้ข่าวว่าปีนี้ภาระดอกเบี้ยคือ 4.5 หมื่นล้านบาท ทำให้เกิดปริศนาว่าภาระดอกเบี้ยเป็นเท่าไรกันแน่?
ถ้ารัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยปีละ 6.5 หมื่นล้านบาทตามที่รองนายกฯให้ข่าวก็แปลว่าอัตราดอกเบี้ยประมาณ 5.91% (= 65,000/1,100,000) แต่ถ้ารัฐบาลจ่ายดอกเบี้ย 4.5 หมื่นล้านบาทตามที่รมต.คลังให้ข่าวก็แปลว่าอัตราดอกเบี้ยเพียง 4.09% (= 45,000/1,100,000) ความไม่สอดคล้องกันระหว่างข้อมูลจากรมต.คลังและรองนายกฯนั้นมีนัยยะสำคัญดังต่อไปนี้
1.อัตราดอกเบี้ย 4.01% เป็ันอัตราที่ต่ำ อัตรานี้สูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตร 30 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯเพียง 1% นี่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยที่หนักหนาสาหัสสำหรับรัฐบาลทีมีหนี้สาธารณะราวๆ 40% ของ GDP ประเทศยุโรปที่มีปัญหาภาระดอกเบี้ยจริงๆคือประเทศที่จ่ายดอกเบี้ยถึง 7% และยอดหนี้สาธารณะมากมายกว่านี้ แล้วทำไมรัฐบาลต้องตีโพยตีพายว่าจ่ายดอกเบี้ยไม่ไหว?
2.อัตราดอกเบี้ย 5.91% จัดว่าไม่ต่ำ แต่ถ้ารัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยด้วยอัตรานี้จริงๆก็น่า้สงสัยว่าหนี้มีอายุเท่าไรและเงื่อนไขอย่างไรทำไมถึงปรับโครงสร้างหนี้ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่านี้ไม่ได้? พันธบัตรรัฐบาลไทยปีที่แล้วก็ไม่ได้มีอัตราดอกเบี้ยเท่านี้ แม้แต่พันธบัตร50 ปีของรัฐบาลไทยที่ออกจำหน่ายปีที่แล้วยังให้ดอกเบี้ย 4.85% ที่สำคัญวงเงินส่วนใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลปีที่แล้วเป็นพันธบัตรที่ดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 2.80%-3.85% ไม่ใช่ 4.85% หนี้กองทุนฟื้นฟูฯมีเงื่อนไขอย่างไรถึงจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยตลาดถึง 2%-3% ปัจจุบันเจ้าหนี้ของกองทุนคือใคร? ทำไมเจ้าหนี้กองทุนฟื้นฟูถึงได้ดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยตลาด?
ดิฉันสรุปไม่ได้ว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯมีอัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยเท่าไรกันแน่? ทั้งสองกรณีมีคำถามให้รัฐบาลต้องตอบสาธารณชน
บทสรุป
เมื่อเปรียบเทียบนโยบายการคลังของรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐบาลอภิสิทธิ์แล้ว ทั้งสองรัฐบาลมีศักยภาพในการก่อวิกฤตเงินเฟ้ออย่างทัดเทียมกัน เนื่องจากดิฉันเคยเสนอให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาเพราะความพยายามใช้นโยบายการคลังที่จะนำไปสู่วิกฤตเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้เกิดสภาวะ“สองมาตรฐาน”ดิฉันจึงเสนอให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภาด้วยเหตุผลเดียวกัน ถ้ารัฐบาลยืนยันว่ารายจ่ายรัฐบาลมากจนรายรับรัฐบาลไม่พอจัดสรรงบประมาณ รัฐบาลก็ต้องปฎิรูประบบภาษีและระบบจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่มีความสนใจในการปฎิรูประบบภาษี
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลทางการเมืองรัฐบาลยิ่งลักษณ์คงจะไม่ยุบสภาภายใน 3 เดือนเหมือนที่รัฐบาลอภิสิทธิในอดีตไม่ยุบสภาภายใน 3 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์คงจะพยายามใช้นโยบายเดียวกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าฐานเสียงจะเห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญกับกองทัพมากกว่าผู้เสียภาษีเช่นเดียวกันกับรัฐบาลอภิสิทธิ์
หมายเหตุ
http://prachatai.com/journal/2010/03/28599
[3] Thailand’s Government Scraps Plan to Transfer Legacy Debt to Central Bank, Bloomberg, December 30, 2011: http://www.bloomberg.com/news/2011-12-30/thailand-scraps-plan-to-shift-35-billion-asia-crisis-ebt-to-central-bank.html
http://www.pdmo.go.th/bond.php?year1=0&m1=01&y1=2011&m2=12&y2=2011&ts2_id=&m=bond&x=22&y=12
(เผยแพร่ครั้งแรกที่ประชาไทออนไลน์ 11 มกราคม 2555: http://www.prachatai.com/journal/2012/01/38696)