โอกาสใหม่ประเทศไทย หลังวิกฤตน้ำท่วม
ไทยจะพลิกวิกฤติเศรษฐกิจหลังน้ำลดอย่างไร? เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศชั่วโมงนี้ที่ภาครัฐจะต้องมีบทบาทสูงมากที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน การซื้อมาขายไป ให้เงินในตลาดหมุนเวียน ยิ่งรัฐบาลใช้จ่ายมากเท่าไร ก็ยิ่งเร่งการหมุนของเงิน เศรษฐกิจก็เติบโต
ความเสียหายที่เกิดจาก สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีมูลค่ามหาศาลตามที่หลายฝ่ายประมาณ การณ์ แต่วิกฤตครั้งนี้ก็ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยในหลายช่องทาง
โอกาสแรก การกระจายงบประมาณของรัฐบาลเพื่อปรับปรุงคุณภาพถนนที่ชำรุดเสียหายจากภัย ธรรมชาติ นอกจากจะก่อให้เกิดการสร้างงาน ประชาชนมีรายได้แล้วยังเป็นแรงผลักทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น โอกาสตัวต่อมา คือ โอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าไทย เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำท่วมใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนจากทั่วโลก ดังนั้นหากรัฐบาลใช้โอกาสนี้ทำการประชาสัมพันธ์ว่าประเทศไทยสามารถแก้ไข ปัญหาน้ำท่วมได้แล้วและพร้อมที่จะผลิตสินค้าป้อนตลาดทั่วโลก และย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยใส่ใจในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค ทั่วโลกเหมือนเดิม ก็จะสร้างความมั่นใจและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยไปในเวลาเดียวกัน และ โอกาสอื่นๆ อีกมากมาย
ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้กับประเทศไทย แต่ยังเป็นการสร้างศักยภาพทางการแข่งขันในน่านน้ำตลาดใหม่ที่มีความยั่งยืน ในด้านการผลิตอาหารของโลกด้วย เกษตรจะกลายเป็นพระเอกที่ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มอร่อยมีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกคงสีเขียวไว้ได้อย่างยาวนาน การใช้จ่ายของรัฐบาลและกลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของรัฐบาลตรงนี้ นอกจากจะทำให้ผู้คนทั่วโลกเกิดความมั่นใจจนทำให้ประเทศไทยสามารถส่งออกได้ เท่าเดิมหรือดีขึ้น เพราะความสามรถในการผลิตอาหารโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมนี้ มีประเทศเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถผลิตได้จึงนับเป็นจุดแข็งที่แตก ต่างของบริษัทคนไทย
ส่วนด้านการลงทุนจาก ต่างประเทศก็จะดีขึ้นด้วย เพราะนักลงทุนจะเชื่อมั่นต่อประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการผูกใจให้กับนักลงทุนอยู่ในเมืองไทยนานๆ รัฐบาลและผู้ประกอบการต้องเร่งพัฒนาใน 2 กลยุทธ์หลัก
กลยุทธ์แรก คือ กลยุทธ์เพิ่มศักยภาพของแรงงานไทย ซึ่งในปัจจุบันคุณภาพของแรงงานไทยถือเป็นเสน่ห์และจุดแข็งที่สำคัญมากในการ ดึงดูดนักลงทุน เพราะแรงงานไทยไม่เพียงแต่มีศักยภาพในการทำงาน แต่ยังสามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้ดีกว่าแรงงานจากหลายประเทศทั่วโลก การจะพัฒนาแรงงานไทยได้ดี จะต้องมี 2 สิ่งใหญ่ๆ ประสานกัน นั่นคือ ระบบการศึกษา และระบบการบริหารที่เปิดโอกาสให้คนทำงานมีโอกาสคิด และแสดงออก พนักงานเมื่อกล้าคิดใหม่ 1 เรื่องในวันนี้ ในอนาคตเขาก็จะกล้าที่คิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างอื่นอีกต่อเนื่อง และนี่คือทรัพย์สินขององค์กร คือ คนทำงานที่มีคุณภาพได้ถูกเพิ่มค่าขึ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การพัฒนานวัตกรรมของประเทศ ส่วนหนึ่งเกิดได้จากการสนับสนุนขององค์กร และขึ้นอยู่กับผู้บริหารจะเปิดโอกาสให้มากขนาดไหน
กลยุทธ์ที่สอง คือ กลยุทธ์การขยายตลาด เพื่อรองรับสินค้าที่ผลิตขึ้น
ปัจจัยตัวที่สอง ที่มีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจพัฒนา รวมถึงเป็นแรงจูงใจให้แก่นักลงทุน คือ ขนาดของตลาดว่ามีตลาดขนาดใหญ่เล็กขนาดไหน ไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันดังนั้น รัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกันแสดงให้เห็นว่า เมื่อมาลงทุนที่ประเทศไทยแล้ว ตอนนี้จะไม่เพียงแต่มีแรงงานที่มีคุณภาพ นโยบายรัฐบาลชัดเจน แต่ยังมีตลาดที่มีขนาดใหญ่
ตรงนี้จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะใช้เวทีอาเซียน และบทบาทผู้นำอาเซียนให้เป็นประโยชน์ในแง่การขยายการตลาด และส่งเสริมการลงทุนได้อย่างไร จากตลาดของไทยที่มีเพียง 60 กว่าล้านคน จะปรับขึ้นเป็นเกือบ 10 เท่า คือ เกือบ 600 ล้านคนในตลาดอาเซียนทันที อีกทั้งนโยบายสนับสนุนการส่งออกของรัฐบาลที่เปิดให้นักลงทุนมาลงทุน แล้วสามารถส่งออกไปได้ทั่วโลกได้อย่างสะดวก ตลาดอาเซียน ก็จะเป็นตลาดใหม่ที่มาช่วยเสริมทัพไทย ในยามวิกฤต เนื่องจากปัจจุบันทั้งตลาดอเมริกา ยุโรป ต่างมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
ดังนั้นเมื่อประเทศไทยซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่าเป็นศูนย์กลางของอา เซียนสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการเป็นพี่ใหญ่ในอาเซียนได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้นนักลงทุนจะยังคงอยู่ในเมืองไทยต่อไปได้ เพราะการลงทุนในประเทศไทยมีบรรยากาศที่ดี สภาพแวดล้อมดี อาหารดี พนักงานดี แนวโน้มการตลาดดี ประชาชนในประเทศยิ้มแย้มแจ่มใส
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่ง คือ การใช้จ่ายของผู้บริโภค(Consumption หรือ C )อย่าง ที่กล่าวแล้วว่า เมื่อมีการใช้จ่ายของรัฐบาล รวมทั้งมีรายได้จากการส่งออกและการลงทุนดีเหมือนเดิมจะทำให้ประชาชนมีความ มั่นใจในสถานการณ์ กล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสะพัดมากขึ้น เพราะการบริโภคของประชาชนมีความสำคัญมากเกือบ 55 % ในการกระตุ้น GDP ของประเทศ
ในโอกาสนี้ รัฐบาลจึงควรมีโครงการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายสินค้าภายในประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรที่มาจากเกษตรกร ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ(42 % ของกำลังแรงงานของทั้งประเทศอยู่ในภาคการเกษตร) เพราะจะเท่ากับทำให้เงินสะพัดหมุนเวียนอยู่ในมือของคนส่วนใหญ่ และเวลาเกษตรกรมีรายได้ แน่นอนที่สุดเกษตรกรจะมีการซื้อสินค้าชนิดอื่นด้วย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ และ ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบเกิดการพัฒนา
แต่อย่างไรก็ตาม จากผลของอุทกภัยสินค้าเกษตรหลายตัว เสียหายพอสมควร ดังนั้น ต้องอย่าให้สินค้าเกษตรมีราคาต่ำจนเกษตรกรต้องขาดทุนและอยู่ไม่ได้เพราะ เกษตรกรจะขาดแรงจูงใจในการทำมาหากินเมื่อเกษตรกรในภาคการเกษตรน้อยลงจะทำให้ ภาคการเกษตรในอนาคตอ่อนแอลง นั่นหมายถึงศักยภาพทางการแข่งขันของไทยกับต่างประเทศในอนาคตของไทยอาจจะไม่ ได้ประโยชน์จากการที่ภาคเกษตรเป็นจุดแข็งอีกต่อไป เพราะเกษตรกรจะออกไปจากระบบหมด ในทางตรงข้ามหากเกษตรกรมีแรงจูงใจมีกำลังใจในการสร้างผลผลิตออกสู่ตลาด เกษตรกรก็จะมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางการผลิตที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยทุกคน
ดังนั้น วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ หากรัฐบาลใช้กลยุทธ์บริหารประเทศถูกจังหวะ วิกฤตก็จะไม่เป็นเพียงโอกาส แต่จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งที่แท้จริงให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย .