สิ่งที่นิติราษฎร์ไม่ได้พูดถึงในข้อเสนอแก้ ม.112
ตามที่คณะนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7 คนได้เผยแพร่ข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญาตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2554 ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ต่อเจตนาในการออกข้อเสนอดังกล่าวทั้งในสื่อกระแสหลักและ SocialMedia...
โดยเฉพาะในห้วงที่สังคมไทยกำลังมีความแตกแยกทางความคิดอย่างมาก และสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหม่ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คณะนิติราษฎร์น่าจะต้องการมากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ถึงเจตนาในการออกข้อเสนอดังกล่าวก็คือ การวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาภายในข้อเสนอยาวเกือบ 7 หน้า ซึ่งพยายามอธิบายถึงเหตุผล และความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมายอาญามาตรานี้อย่างค่อนข้างเป็นเหตุเป็นผล แต่อาจจะเป็นเรื่องยากที่บุคคลทั่วไปที่ไม่คุ้นเคยกับหลักกฎหมายอาญาจะเข้าใจได้ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ จึงมักแปรผันไปตามความคิดความเชื่อทางการเมืองของคนที่ออกมาให้ความเห็นในเชิงเจตนา และจุดยืนทางการเมืองของกลุ่มนิติราษฎร์มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาในข้อเสนอนี้ (อ่านข้อเสนอฯ ของคณะนิติราษฎร์ได้ที่ http://www.enlightened-jurists.com/blog/56 )
วันนี้ จึงจะอนุญาตใช้ความรู้ทางกฎหมายที่มีอยู่อย่างจำกัด ไปสำรวจรายละเอียดข้อเสนอแนะของกลุ่มนิติราษฎร์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แง่มุมในด้านกฎหมายต่อข้อเสนอของนิติราษฎร์ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ใช้บังคับในปัจจุบัน มีเนื้อความว่า...มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีประมวลกฎหมายอาญามาตรานี้ อยู่ในภาคที่ 2 ของประมวลกฎหมาย หรือเป็นกฎหมายอาญาภาค “ความผิด” ลักษณะ ๑ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด ๑ ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แสดงให้เห็นว่า ผู้บัญญัติกฎหมายเจตนาที่จะบทบัญญัติมาตรานี้ อยู่ในหมวดว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ เพราะเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น 1 ใน 3สถาบันหลักของชาติ หากปราศจากซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว “ราชอาณาจักรไทย” ก็มีโอกาสจะล่มสลายได้ แต่ในบทเกริ่นนำของข้อเสนอกลุ่มนิติราษฎร์ ได้กล่าวถึงปัญหาของมาตรา 112 ว่า... “มีความไม่เหมาะสมทั้งในแง่ของโครงสร้างของบทบัญญัติ อัตราโทษ และการบังคับใช้ ประกอบกับกฎหมายดังกล่าวไม่มีการยกเว้นความผิดในกรณีที่บุคคลติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย...” ซึ่งไม่แน่ใจว่าหลงลืมหรือจงใจที่จะไม่พูดถึงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย “ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
เพราะแตกต่างจากบทเกริ่นนำที่เขียนในเว็บไซต์ว่า...“ตามที่ คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ได้จัดทำข้อเสนอเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒และเผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๔ นั้น คณะนิติราษฎร์ได้รับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อข้อเสนอดังกล่าวอย่างรอบด้านแล้ว และได้พิจารณาไตร่ตรอง โดยคำนึงถึงหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ” เมื่อมาดูที่ตัวข้อเสนอฯ ประเด็นที่ 1 มีการเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยเหตุผลประการหนึ่งว่า... “มาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้รับการบัญญัติขึ้นโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๑ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งเป็น “กฎหมาย” ของคณะรัฐประหาร บทบัญญัติในมาตรานี้จึงขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย”กรณีนี้ ก็เช่นเดียวกันว่า กลุ่มนิติราษฎร์อาจจะไม่ตั้งใจหรือเจตนาที่จะให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น ถูกบัญญัติขึ้นก่อนหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในปี 2519 โดยมาตรา 112 นี้ มีมาตั้งแต่การออกประมวลกฎหมายอาญาในปี 2499 สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี การแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2519 เป็นการแก้ไขบทลงโทษในความผิดนี้จาก “ไม่เกิน 7 ปี” มาเป็น “ตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” ต่อมาในข้อเสนอประเด็นที่ 2 ของกลุ่มนิติราษฎร์ ว่าด้วย “ตำแหน่งแห่งที่ของบทบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเกียรติยศและชื่อเสียงของ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์” ซึ่งมีการเสนอให้... “เพิ่มเติมลักษณะ... ความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ไว้ในประมวลกฎหมายอาญา”
โดยให้เหตุผลว่า...“โดยสภาพของความผิด ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่มีสภาพร้ายแรงถึงขนาดกระทบกระเทือนต่อการดำรงอยู่ของบูรณภาพและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” ตรงนี้เป็นประเด็นที่ต้องมีการถกเถียงถึงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยว่า เป็นสถาบันหลักของชาติหรือไม่ อย่างไรในประเด็นที่ 3 ของข้อเสนอฯ ว่าด้วยเรื่อง “ตำแหน่งที่ได้การคุ้มครอง” กลุ่มนิติราษฎร์เสนอให้แยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่ง พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้สอดคล้องกับความผิดฐานอื่นๆ ตั้งแต่มาตรา 107 - 110 แต่กลุ่มนิติราษฎร์ไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่า ความผิดตามมาตราดังกล่าว อยู่ในหมวดว่าด้วยความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ขณะที่คณะนิติราษฎร์เสนอให้ย้ายมาตรา 112 ไปไว้ในหมวดอื่นๆ ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าให้นำไปไว้ในหมวดใดของประมวลกฎหมายอาญาประเด็นที่ 4 ในเรื่องอัตราโทษ กลุ่มนิติราษฎร์พยายามจะเสนออัตราโทษโดยเทียบเคียงมาจากความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาทในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และ 328 ซึ่งอยู่ในภาคความผิดลักษณะที่ 11ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง โดยมาตรา 326 เป็นการหมิ่นประมาททั่วไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีและปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ส่วนมาตรา 328 เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีและปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งโทษปรับที่มีอัตราก้าวกระโดดเช่นนี้ เป็นการแก้ไขจากเดิมปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาทเมื่อปี2535 โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2535 ซึ่งอยู่ในยุคเผด็จการ รสช.กรณีนี้ กลุ่มนิติราษฎร์ไม่ได้พูดถึงทั้งในประเด็นว่าโทษในคดีอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาทที่นำมาเทียบเคียงกับฐานความผิดใหม่ที่เสนอให้มีการแก้ไขในสมัยเผด็จการ และละเลยที่จะพูดถึงปัญหาของกฎหมายอาญาในคดีหมิ่นประมาทที่มีปัญหาเป็นข้อจำกัดต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งในประเทศที่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ส่วนใหญ่จะยกเลิกโทษทางอาญาในคดีหมิ่นประมาทไปแล้ว ส่วนข้อเสนอในการเพิ่มบทยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษโดยเทียบเคียงกับบทบัญญัติในคดีอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาทนั้น แม้ในกฎหมายอาญาปัจจุบัน ยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมของบทบัญญัติที่ใช้อยู่ในมาตรา 329 ซึ่งเป็นบทยกเว้นความผิดที่ใช้บังคับในทุกกรณี จึงเป็นช่องว่างให้นักการเมือง หรือผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องในการจำกัดเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนมาโดยตลอด ขณะที่ข้อเสนอในเรื่องผู้มีอำนาจกล่าวโทษ
ซึ่งมีการเสนอให้สำนักราชเลขาธิการทำหน้าที่กล่าวโทษ ประเด็นนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงว่า เหมาะสมหรือไม่ เพราะสำนักราชเลขาธิการมีหน้าที่สนองงานพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท การที่สำนักราชเลขาธิการจะมาทำหน้าที่ฟ้องร้องในคดีนี้ อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนว่าพระองค์ท่านมีส่วนรู้เห็น หรือสนับสนุนให้มีการฟ้องร้อง แม้ว่าในตอนท้ายของข้อเสนอฯ จะระบุหลายเหตุว่า... “ข้อเสนอนี้ นอกจากจะเป็นข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ แล้ว คณะนิติราษฎร์ยังมุ่งหวังให้เป็นมาตรฐานในการปฏิรูปกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาทและ ดูหมิ่นกรณีอื่นๆ ในประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายประมุข หรือผู้แทนรัฐต่างประเทศ (มาตรา ๑๓๓ และมาตรา ๑๓๔) ความผิดฐานดูหมิ่น เจ้าพนักงาน (มาตรา ๑๓๖) ความผิดฐานดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา(มาตรา ๑๙๘) และความผิดฐาน หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา (มาตรา ๓๒๖ และมาตรา ๓๒๘) ให้เป็นระบบและสอดคล้องกับข้อเสนอนี้ในโอกาสต่อไปด้วย” แต่การเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แบบแยกส่วนโดยไม่ได้มองปัญหาทั้งระบบ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กลุ่มนิติราษฎร์จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝงมากับข้อเสนอฯ ดังกล่าวหรือไม่ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้
คณะนิติราษฎร์ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายต่างๆ อย่างหลากหลาย จึงสมควรเร่งจัดทำข้อเสนอปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาททั้งระบบดังที่ได้ระบุไว้ใน “หมายเหตุ” โดยเร็วการคิดแบบแยกส่วนรวมทั้งการจัดทำข้อเสนอแบบเลือกนำข้อมูลเฉพาะที่เป็นประโยชน์กับข้อเสนอของตน โดยละเลยที่จะพูดถึงข้อมูลอีกบางส่วนที่จะทำให้ข้อเสนอของฝ่ายตนขาดความน่าเชื่อถือ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในประเด็นทางกฎหมายที่มีความสลับซับซ้อน และอาจจะไม่เป็นผลดีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังเช่นที่คณะนิติราษฎร์ได้คาดหวังไว้ก็เป็นได้ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า นักการเมือง ไม่ว่าฝ่ายใดๆ พร้อมที่จะนำเรื่องที่อ่อนไหวเช่นนี้ มาเป็นประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่ได้คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย...
ที่มา : http://www.thairath.co.th/column/tech/socialmediathink/231741