ดำรงค์ พิเดช เปิดแนวรบป้องป่าไม้-สัตว์ป่า "ทุกอย่างที่ทำมาไม่มีนอกมีใน"
หมายเหตุ-ปัญหาการบุกรุกและทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นมานานและขณะนี้กำลังลุกลามบานปลายไม่มีที่สิ้นสุด ขณะเดียวกันในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เรามักจะเห็นสื่อเกือบทุกฉบับพร้อมใจกันลงข่าวการปราบปรามขบวนการลักลอบบุกรุกและทำลายทรัพยากรของชาติอย่างต่อเนื่อง ชนิดที่ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ และสื่อแขนงอื่นๆ เกือบทุกสำนัก เรามักจะเห็นบุคลากรของหน่วยราชการอยู่ในข่าวประเภทนี้หลากหลาย แต่ที่โดดเด่นที่สุด คือ ดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ดังนั้น จึงน่าสนใจยิ่งว่า เหตุใดเขาจึงมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ปราบปรามปัญหานี้อย่างจริงจัง
@ท่านกลับมาเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นเพราะรัฐบาล (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ชุดนี้ใช่หรือไม่
ใช่...เพราะรัฐบาลชุดนี้เขาเอาผม แต่รัฐบาลชุดที่แล้ว เขาระแวงผมมาก คิดว่าผมเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ผมบอกว่าผมเป็นข้าราชการ อยากให้ผมทำงานก็ใช้ผม ไม่อยากให้ผมทำ ก็ไม่ต้องใช้ผม ผมก็ไม่ทำ ผมไม่มีอำนาจผมจะทำไปทำไม
@ สิ่งที่ทำเป็นเรื่องอันตราย มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ
ผมจะเกษียนอายุราชการ ก็ทำได้ 2 ทาง จะไปมาให้หมดเวลาก็ได้ หรือจะทำให้เป็นประโยชน์ก็ได้ มันมีทางเลือก 2 ทาง คือ 1.อยู่เงียบๆ รอเกษียณอายุราชการ ก็มีความสุขดี 2.ทำงาน เหนื่อยไหม อันตรายไหม ก็เสี่ยง แต่เราก็ทำไป จะได้แค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ผมอายุ 61 ปีแล้ว ผมจะเกษียณราชการปีนี้แหละ ซึ่งผมขอเลือกเอาอย่างหลัง เพราะรู้สึกว่า เวลานี้งานที่เราต้องทำนั้นมีอีกมาก ยอมรับว่า จากวันนี้... ถึงวันที่ผมเกษียณก็ยังทำไม่หมดหรอก แต่ก็พยายามทำให้มากที่สุด ให้ดีที่สุด และให้โปร่งใสที่สุด ทุกอย่างที่ผมทำมา ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 รับรองว่า ไม่มีนอกมีใน ไม่มีรับเงินรับทองใครเด็ดขาด ผมบอกเอาไว้ตั้งแต่วันแรกว่า จะคืนความยุติธรรมให้กับทุกคน ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมในยุคก่อน
@เป้าหมายของท่านคืออะไร
อะไรที่เป็นเรื่องด่วนก็ต้องทำก่อน แต่เรื่องหลักๆ ที่ผมต้องทำคือ เรื่องของต้นไม้ แต่ตอนนี้มีเรื่องด่วนที่ต้องทำอีก 3 เรื่องได้แก่ เรื่องช้าง เรื่องไม้พะยูง และเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แค่ 3 เรื่องเร่งด่วนนี้ ก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันแล้ว ไม่ต้องถามว่าเรื่องไหนสำคัญที่สุด เพราะ สำคัญหมดทุกเรื่อง
@ขยายรายละเอียดภารกิจที่ต้องทำได้หรือไม่
วันนี้เรื่อง “ต้นไม้” มันเกิดจากความผิดพลาดของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชา หมายความว่า ที่ผ่านมา การปลูกป่ามันต้องเป็นแผน อย่างน้อย 4 ปี จะต้องมีเป้าหมายว่าทำอะไรบ้าง เพื่อความชัดเจน เพราะที่ผ่านมา การปลูกป่า นึกจะปลูกก็ปลูก นึกจะไม่ปลูกก็ไม่ปลูก กฎ กติกาไม่มี มันก็ไม่ต่อเนื่อง การปลูกป่าจะทำได้หรือไม่ ต้องมีการเตรียมกล้าไม้ ซึ่งกล้าไม้บางชนิดที่เหมาะสม ต้องใช้เวลา 7-8 ปี จึงจะโตแล้วนำไปปลูกได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่วางแผนเมื่อจะทำมันก็ไม่ทัน แล้วไปเอาต้นไม้ชนิดอื่นมาปลูกแทน มันก็ไม่เหมาะสม ทั้งพื้นที่ ทั้งชนิดพันธุ์ มันก็เกิดปัญหาตามมาตลอด ฉะนั้นถ้ารัฐบาลมีแผนชัดเจน ว่าจะปลูกเท่าไหร่ ที่ไหน กี่ไร่ เขาจะได้เพาะกล้าไม้ข้ามปีกันไปเลย เหมือนปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ ต้นไม้โตเพราะเขามาโครงการชัดเจน ปลูกต่อเนื่อง 4 ปี ดังนั้นถ้าจะให้ดีระบบการปลูกป่าต้องเป็นแผนนิ่ง แต่นี่ให้ปลูกป่าปีละ 3,000 ไร่ กลับกันกรมอุทยานแห่งชาติฯ ถูกทำลายปีละกว่า 4,000 ไร่ มันจะทันการณ์อะไร นี่คือ ความผิดพลาด เอาคนมาเป็นรัฐมนตรี ตัวเองมุ่งเรื่องน้ำก็ไปเรื่องน้ำ อย่างอื่นก็ไม่สนใจ
@ท่านกำลังจะบอกว่าผู้บังคับบัญชาคนก่อนๆ ตั้งแต่รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดีกรม ทำผิดพลาดมาตลอด
ข้าราชการประจำเขาไม่ผิดพลาดหรอก แต่ผู้บริหารฝ่ายการเมือง ซึ่งก็คือ รัฐมนตรีต่างหากที่ผิดพลาด แต่ละรัฐมนตรีที่มาบริหารความคิดก็แตกต่างกัน เรื่องนี้มันต้องโทษไปถึงนโยบายของรัฐบาลด้วย เพราะนโยบายปลูกป่า คุณจะเอาอย่างไรก็ว่ามา ไม่ใช่แถลงว่าจะเอาแบบนี้ แต่พอถึงเวลาก็ไปอีกทิศหนึ่ง ดังนั้นนายกรัฐมนตรีก็ต้องกำกับดูแลรัฐมนตรีให้ทำตามนโยบายด้วย
@ความผิดพลาดเกิดมาตั้งแต่รัฐบาลไหน
ก็ไล่กันไปมา ผมไม่อยากย้อนไปพูดเรื่องเก่าว่าย้อนไปกี่รัฐบาล แต่นี่เรามาพูดถึงว่าจะทำอย่างไรให้การปลูกป่ามันได้ผล ซึ่งจะต้องมีแผนที่ชัดเจนอย่างน้อย 5 ปี
@แล้วรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นอย่างไร มีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขา (นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข) ก็มีแผนชัดเจน ให้ทำ 5 ปี มีการประชุมเร่งด่วน ทำโครงการปลูกป่าต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ อย่างนี้หน่วยงานภาคสนามก็ต้องไปดำเนินการเพาะกล้าไม้ พอฝนมาก็ขนไปปลูกได้ทันที ไม่ใช่ฝนมารอกล้าไม้โตไม่ทัน ซึ่งเรื่องนี้ผมสั่งให้เตรียมการณ์ล่วงหน้าไว้แล้ว เพราะขณะนี้ถามว่าช้าไปหรือไม่ ก็ช้าแล้วนะ แต่ยังมีกล้าไม้บางชนิดที่น่าจะปลูกได้ เช่น ต้นสนสามใบ ต้นเต็ง ต้นประดู่ส้ม ต้นแอปเปิ้ลป่า ฯลฯ ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เคยมีในอดีต
@ตั้งเป้าจะดำเนินการอย่างไร
จริงๆ ตั้งเป้าปลูก 5 แสนไร่ แต่เอาเข้าจริงขอเพียง 2 แสนไร่ ผมต้องคำนึงเรื่องกล้าไม้ด้วย จะไปปลูกส่งเดชไม่ได้ เพราะต้องเตรียมการตั้งแต่เรื่องคน กล้าไม้ พื้นที่ กล้าไม้บางชนิด เช่น พวกก่อ พวกเมือด ใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี จึงปลูกได้เพราะเป็นไม้เนื้อแข็ง ปลูกกันบริเวณสันเขา ตัดเท่าไหรก็ไม่ค่อยตายเพราะรากลึก ตัดทำไร่เลื่อนลอย ทิ้งไว้ 5 ปีมันก็สามารถแตกหน่อขึ้นมาได้อีก แต่เตรียมไม่ทัน อย่าลืมว่าตอนนี้เราเข้าไปปลูกป่าต้นน้ำในพื้นที่เสื่อมโทรมที่ผ่านการทำกินของชาวบ้าน ดินเสีย กลายเป็นเขาหัวโล้นไปหมดแล้ว แถมยังต้องอาศัยน้ำฝนที่จะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโต เพราะครั้งนี้ไม่ได้ปลูกในแปลงเกษตรที่ดินอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นที่ดีที่สุดคือ กล้าไม้ข้ามปี เพราะมันจะแข็งแรงกว่า แต่ใจจริงผมต้องการรักษามากกว่าปลูก ถ้าปลูกกว่าจะโตมันเรื่องใหญ่ คนมากขึ้น ไม่มีอะไรแน่นอน แต่วันนี้ที่มีอยู่แล้ว ทำไมเราไม่รักษาไว้ ป่าสงวนทุกวันนี้ไปตรวจสอบได้เลย มีเจ้าของหมดทุกพื้นที่ เจ้าของจะโดยทางตรง หรือโดยอิทธิพลหรือไม่ แต่มีเจ้าของแน่นอน เพราะฉะนั้นเราต้องเอาที่มีอยู่ในวันนี้ก่อน
@ถ้าให้ประเมินสภาพป่าในประเทศไทย
ป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทยขณะนี้คือ ทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นผืนใหญ่ที่สุดของประเทศ เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยละ 30 ขณะนี้ได้ข่าวว่าจะมีโครงการตัดถนนจากพม่าเข้าไทย (โครงการทวาย) เป็นการตัดถนนผ่าทุ่งใหญ่ตะวันตก และตะวันออก ผมยังไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร แต่ถ้าผ่ากลางทุ่งใหญ่ก็คงต้องมีการต่อต้านกันแน่นอน ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยที่จะตัดถนนผ่ากลางป่า หรืออุทยาน ผมต่อต้านมาตลอด แต่ถ้ามีนโยบายก็ว่ากันไป แต่ผมไม่เห็นด้วย ถามว่าถ้าสร้างอ่างเก็บน้ำ ผมรู้ว่ามันจำเป็นทุกพื้นที่แต่ควรต้องดูจากสภาพป่าด้วย ถ้าเป็นป่าหนาแน่น หากดำเนินโครงการในพื้นที่แบบนี้อาจต้องสูญเสียสภาพป่าไปประมาณ 50,000 ไร่ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย
@ท่านบอกว่าจะดูแลปัญหาช้าง
“ช้าง” เป็นพระราชเสาวณีย์ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเป็นห่วงอย่างมาก และความจริงแล้ว ปัญหาเรื่องการลักลอบนำช้างป่ามาสวมตั๋วรูปพรรณเป็นช้างบ้านมีมานานแล้ว แต่จัดการกันไม่เด็ดขาดเสียที ขณะนี้กรมอุทยานแห่งชาติฯ จ้างสายสืบไว้สืบเรื่องช้างโดยเฉพาะ กำลังหารายละเอียดของสถานที่ที่มีการลักลอบนำเนื้อช้างมาให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศกิน ยืนยันว่ามีขบวนการทำกันจริง การกินอวัยวะเพศช้าง การกินเนื้อช้าง ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอยๆ ให้เป็นข่าว และมีมานานแล้ว ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เรื่องตั๋วรูปพรรณของช้างก็เหมือนกัน มีการสวมกันมั่วไปหมด ปางช้างหลายแห่งซื้อช้างมาอย่างถูกต้องจริง แต่เบื้องหน้า เบื้องหลังและวิธีการหาช้างมาให้คนที่ปางช้างนั้นมีปัญหามาก
อย่างลูกช้าง 2 ตัว ที่ จ.ภูเก็ต ที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยึดไว้ล่าสุด 2 ตัวนั้น เจ้าของอ้างว่า เช่ามาจากปางช้างที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ทั้ง 2 ตัว อายุห่างกันไม่ถึงปี แต่พอเจ้าหน้าที่ถามถึงชื่อแม่ช้าง มันบอกแม่ตัวเดียวกัน มีอย่างที่ไหน ช้างตัวหนึ่งตั้งท้องปีกว่า จะมีลูกตกห่างกันไม่ถึงปีได้อย่างไร เรื่องแบบนี้ มีเยอะ ตอนนี้เรามีช้างในป่าประมาณ 2,800 ตัว ช้างบ้านมีอยู่ประมาณ 4,000 เชือก แต่ถ้าปล่อยให้มีการล่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวก็หมด
@จะจัดการเรื่องช้างขั้นเด็ดขาดอย่างไร
ก็ต้องตรวจสอบ จับ ยึด อายัติ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นว่าเราเอาจริง ส่วนคนร้ายที่ยังจับไม่ได้ เราก็ทำอยู่ ตามล่าอยู่ เรามีตำรวจป่าไม้ที่เข้มแข็ง ผมรับรองว่า ถ้าเราเอาจริง ขบวนการทำผิดกฎหมายมันก็ไม่กล้า สำคัญคือ เราต้องเอาจริง ก่อนหน้านี้ผมให้เจ้าหน้าที่จับตาดูโรงเรียนฝึกสอนลูกช้างแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 200 กิโลเมตร ที่นั่นมีลูกช้างเกือบ 20 ตัว ถูกฝึกให้เต้นรำบ้าง วาดรูปบ้าง เตะฟุตบอลบ้าง พอทำกิจกรรมเหล่านี้เป็นแล้ว ก็จะมีคนมารับไปในที่ต่างๆ ผมสงสัยว่า ลูกช้างเหล่านี้น่าจะถูกขโมยมาจากแม่ช้างในป่า แต่ไปตรวจสอบล่าสุดพบว่า ตอนนี้เหลือลูกช้างแค่ 2 ตัว คาดว่าเขาคงไหวตัวทัน และรีบขนลูกช้างไปซ่อนไว้ตามชายแดน เรื่องนี้เราก็กำลังติดตามอยู่
@เรื่องตั้งกองทุนอาหารช้างไปถึงไหน
เรื่องการตั้งกองทุนอาหารช้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งมานานแล้ว ท่านรับสั่งเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2541 ให้ตั้งกองทุนอาหารช้าง โดยให้ชาวบ้านปลูกอาหารให้ช้างและรัฐจ่ายชดเชยไปให้ชาวบ้าน จริงๆ เรื่องนี้ควรทำมานาน เพราะเรื่องช้างกับคนขัดแย้งกันมีมานาน แต่มัวไปมองปัญหาอื่น วันนี้ชาวบ้านปากบอกรักช้าง เพราะกลัวเจ้าหน้าที่จะเอาเรื่อง แต่ใจอยากจะกระทืบช้าง เพราะช้างไปทำให้พวกเขาเดือดร้อน ดังนั้นกองทุนอาหารช้างจะเป็นการคืนดีกันระหว่างคนกับช้าง
@จะจัดการกับปัญหาสวมตั๋วรูปพรรณช้างที่อย่างไร
ผมจะใช้มาตรการให้ปางช้างทุกแห่งทั่วประเทศทำถูกต้อง ผมจะปราบปรามตั๋ววิ่ง (ตั๋วรูปพรรณช้าง) ที่มีการยืมกันไปมาระหว่างปางช้าง ซึ่งทุกวันนี้ทำกันมาก ต่อไปจะจัดระเบียบใหม่ ทำให้เข้าระบบตั้งแต่อำเภอ
ผมจะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยว่าต่อไปนี้ช้างแรกเกิดทุกตัว เมื่ออายุ 3 เดือน จะต้องตรวจดีเอ็นเอ และขอให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่ใช่ปล่อยให้อายุ 8 ปี ถึงเข้าตรวจ ไม่ใช่ปล่อยให้ปลัดอำเภอปฎิบัติงานแทนนายอำเภอ ต่อไปตั๋วรูปพรรณช้างทุกใบจะต้องลงนามโดยผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ยังไม่ทราบว่าผลจะออกมาอย่างไร เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของระดับรัฐมนตรีที่จะต้องผลักดัน
@ในส่วนของการนำช้างออกไปจัดแสดงต่างประเทศ จะควบคุมด้วยหรือไม่
ที่ผมทำแล้วคือ หากจะมีการนำช้างออกไปแสดงในต่างประเทศ จะต้องขออนุญาตและวางค่ามัดจำตัวละ 20 ล้านบาท เพราะสมัยก่อนวางมัดจำตัวละ 1 ล้านบาท พอเอาไปแล้วไม่ส่งกลับ อ้างว่า ช้างตาย ช้างป่วย ฯลฯ เรื่องนี้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยตรง ถ้าผมยังอยู่ผมจะใช้แนวทางนี้ต่อไป วันก่อนก็มีคนมาต่อรองแล้วนะ มาขอนำช้างไปจัดแสดงที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ผมไม่ยอม ถ้าจะเอาไปก็วางเงิน 20 ล้านบาท เขาบ่นใหญ่บอกไม่มีเงินมากพอ หลังจากนั้นก็เงียบหายไป ก็ดี ขณะนี้ผมให้หัวหน้าอุทยานทั่วประเทศไปตรวจสอบปางช้างในพื้นที่แล้วทำรายงานถึงกรมอุทยานแห่งชาติฯ ผมต้องการตรวจสอบจำนวนช้างที่มีอยู่จริง เพราะหลายแห่งผมสันนิษฐานว่าไปจับออกมาจากป่า แล้วพยายามฝึกให้เชื่อง ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงถ้าเป็นช้างบ้าน เกิดมาก็เชื่องแล้ว ไม่ต้องฝึกมาก แต่หลายแห่งตั้งหน้าตั้งตาฝึกกัน
@ทำไมมีแต่คนอยากได้ช้างจากประเทศไทย
เพราะช้างไทย แตกต่างจากช้างแอฟริกา สอนง่าย ฝึกง่าย ใครเห็นก็เอ็นดู หางดี หูดี เห็นแล้วประทับใจ วันนี้ช้างไทยเป็นที่ต้องการของทั่วโลก สวนสัตว์ต้องการ วันนี้ถ้าให้ส่งออกกับง่ายๆ ก็หมดแล้ว แต่เอาไปเท่ากับเป็นการทรมารหรือไม่ ต้องไปเจอหิมะ ไปเจออากาศหนาวเย็น ช้างก้เหมือนคน และพวกนี้มีระบบพี่น้อง มีพ่อแม่ พี่ป้า น้าอา ถูกแยกออกไปก็คิดถึง ช้างเป็นสัตว์ประเสริฐไม่ใช่ลูกตัวเองก็ให้กินนม
@แสดงว่าต่อไปเราไม่มีนโยบายส่งออกช้าง
ไม่เคยมีอยู่แล้ว นอกจากเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ระดับสูง ก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป เราไม่ส่งออก และจะต้องควบคุมตั๋วให้ถูกกฎหมายด้วย เพราะตอนนี้เรื่องช้างกลายเป็นเรื่องของธุรกิจ ที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ใส่ใจ จึงมีการทำเป็นขบวนการง่ายๆ
@มาถึงประเด็นการรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หลังจากปัญหาวังน้ำเขียว ท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อ
“รุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์” ต้องแบ่งระหว่าง “วังน้ำเขียว” กับ “ปลูกยาง” ในพื้นที่ภาคใต้ วันนี้ผมบอกพี่น้องชาวใต้ทั้งหมดให้ลุกขึ้นสู้มิเช่นนั้น อีก 10 ปี ลูกหลานท่านจะแย่หมด ถ้าเป็นอย่างนี้อุทยานทางบกในภาคใต้จะเป็นป่ายางทั้งหมด เมื่อฝนตกน้ำก็จะท่วม ตกกี่ครั้งน้ำก็ท่วม จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปในภาคใต้ เพราะไม่มีอะไรไปยึดหน้าดิน เรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของแผนป้องกันน้ำท่วม เพราะป่าเดิม (ป่าธรรมชาติ) มี 5 ชั้น แต่วันนี้ป่ายางมีชั้นเดียว เมื่อน้ำหลากมาทีเดียวไม่มีอะไรยึดไว้ ตอนนี้ภาคเหนือก็เหมือนกัน โค่นป่าปลูกกระ
หล่ำปลี ปลูกลิ้นจี่ ปลูกผัก กันหมด ที่สำคัญวันนี้ปัญหาเรื่องน้ำเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักทั้งคนข้างบนและคนข้างล่าง วันนี้ใช้ท่อส่งน้ำกันไปสุดลูกหูลูกตา ดึงน้ำจากลำห้วยจากข้างบนแย่งน้ำกันไปหมด แต่ไม่ถึงข้างล่าง เพราะมีแต่การเพาะปลูกตลอดทั้งปี แย่งน้ำกันไม่สิ้นสุด
@จะเอาคนออกจากป่าหรือไม่
ก็ต้องดูเหตุผลว่าจะทำกันอย่างไร คนอยู่ที่สูงวันนี้มี 100 คน พอได้ แต่หากวันหนึ่งมี 2,000-3,000 คน จะเป็นอย่างไร ดังนั้นจะต้องจำกัดคนที่อยู่บนดอย ว่าควรจะมีประมาณเท่าไรจึงเหมาะสม ไม่ใช่ปล่อยไปแบบนี้ แถมยังมีที่อพยพเข้ามาแบบผิดกฎหมายอีกต่างหาก ที่อยู่เดิมก็มีอยู่จะไปห้ามเขาอย่างไร เราไม่ห้ามคนเดิมอยู่ แต่ไม่ให้คนใหม่เข้าไป ถ้าไม่ทำแบบนี้อนาคตจะเป็นหมู่บ้านร้างทั้งหมด เพราะเด็กรุ่นใหม่ไปเรียนหนังสือในเมือง ไม่หวนกลับขึ้นไปอีก คนแก่อยู่ไปก็ล้มหายตายจากกันไป เด็กรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากกลับไปปลูกข้าว พรวนดิน เมื่อเป็นเช่นนั้นจะต้องควบคุมการอพยพให้ได้ มิเช่นนั้นผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้านจะเข้ามาอีกมาก วันนี้ก็เข้ามาไม่หยุด รอทำบัตรประจำตัวกันมากขนาดไหน อย่างเร็วสุดไปเป็นคนขับจักรยานยนต์รับจ้างที่ในเมืองก่อน ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหาตามมาอีกมาก อยู่กันเต็มบ้านเต็มเมือง ดังนั้นต้องควบคุม ซึ่งผมจะจำกัดการอยู่ในป่า นอกจากนี้ ผมจะควบคุมไม่ให้พระสงฆ์เดินธุดงส์ในป่าทั่วประเทศ เพราะหากเกิดอันตรายขึ้นไม่มีใครรับผิดชอบ เนื่องจากวันนี้...ลำพังเจ้าหน้าที่ก็ดูแลไม่ไหว ช้างกระทืบ เสือจะกิน ใครจะเข้าไปช่วยทัน จะให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไปอารักขาก็ทำงานไม่ไหว เพราะภารกิจที่มีอยู่ก็มากพออยู่แล้ว
@คิดว่าปัญหาการรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์มันเกิดจากตรงไหน
วันนี้เรื่องการรุกป่า ปัญหาคือเรื่องการทำกิน ส่วนต้นไม้ที่ตัดขาย เช่น ไม้พะยูง ไม้ทำบ้านก็อีกประเด็น ปัญหาขณะนี้คือ การปลูกยางในพื้นที่ต้องห้าม บางครั้งชาวบ้านไปลักลอบปลูกไว้ ในที่ลับตาเจ้าหน้าที่ ไม่มีใครเห็น เข้าไม่ถึง กระทั่งต้นโตพอจะตัดขายได้ ส่วนกรณีรุกเพื่อยึดพื้นที่ทำธุรกิจ เช่น รีสอร์ต ในยุคผมไม่น่าจะมีใครกล้าลงทุนอีก เพราะผมจะปราบปรามหมด เอาจริง แม้จะแอบซื้อที่ดินไว้ แต่จะไม่มีการปลูกสร้างเพิ่มเติม แต่หลังจากสมัยผม ไม่แน่ใจ แต่วันนี้ ผมจะทำแบบวังน้ำเขียว ทับลาน อย่างรายล่าสุดที่ จ.เชียงใหม่ เจ้าของที่ดินก็ซื้อไว้ในช่วงที่วังน้ำเขียวกำลังบูม แต่ยังไม่มีการก่อสร้างใดๆ เพียงแต่เขาเตรียมไว้สำหรับดำเนินการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศ ไปซื้อต่อมาจากชาวบ้านในพื้นที่ ซื้อขายกันแบบเถื่อนๆ
@ทำไมเรื่องแบบนี้มีไปทั่วทุกพื้นที่ประเทศ
ก็ที่ดินราคาถูก ไร่ละ 5,000 บาท คนในเมืองเงินแค่นี้กินข้าวมื้อเดียวก็หมดแล้ว พอมีคนมาชักชวนก็ซื้อ ปั่นราคากันไปแพงสุดก็ไร่ละแสน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันเยอะไปหมด ตรวจที่ไหนก็เจอ แต่การซื้อขายมันเป็นแบบปากเปล่า ใช้อิทธิพลในการครอบครอง และปล่อยขาย
@แสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เข้าไปตรวจสอบเลย
เจ้าหน้าที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน แต่อย่าลืมนะว่าก็หน่วยพิทักษ์ป่าคนมีไม่พอ ขอเท่าไหร่ก็ไม่ได้เพิ่ม สิบปีอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น พื้นที่ก็ขยายกว้างขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ท้อ จริงๆ แต่ละจุดต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่พิทักษ์ เพราะพื้นที่กว้างขึ้น ใกล้ป่ามากขึ้น จำเป็นต้องหาคนดูแลเป็นหูเป็นตาให้ บางพื้นที่เจ้าหน้าที่ก็สมรู้ร่วมคิดกับ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำเอกสารปลอม ออกโฉนดปลอม เงินที่ขายได้ก็เอามาแบ่งกัน อย่างวังน้ำเขียว ทับลาน ที่ขณะนี้ยังต้องตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ เมื่อไม่จับ ปล่อยกันมาตั้งแต่แรก เรื่องจึงบานปลายมาถึงวันนี้ และคนที่ไปซื้อก็พวกที่มีเกียรติในสังคมทั้งนั้น เพราะพวกนี้พอจะมีเงิน
@เท่ากับว่าวันนี้เจ้าหน้าที่รัฐกำลังทะเลาะกับกลุ่มคนมีเงิน
เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ทะเลาะด้วยนะ แต่เราทำตามคำสั่งศาล ไม่ว่าใครมานั่งตรงนี้ก็ต้องทำ เพราะศาลสั่งแล้ว หนีไม่ได้หรอก
@ในที่สุดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ก็ต้องรื้อถอนออกหมด ผมไม่เคยเห็นคดีรุกป่าที่ไหนที่ศาลจะยกคำร้อง มีแต่รอลงอาญา แต่ต้องขนทรัพย์สินออกให้หมด ซึ่งต้องใช้เวลา จากกระจุกเล็กๆ ขยายไปเป็นป่าใหญ่ และจะไม่มีใครไปทำอะไรต่อได้
@ไม่กลัวผู้มีอิทธิพลในพื้นที่หรือ
ก็กลัว แต่จะไปสู้กฎหมายได้อย่างไร ผมก็มีลูกน้องทั่วประเทศ เป็นหมื่นๆ คน ขนาดที่ จ.ปราจีนบุรี ที่มีข่าวว่าเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่น ผมก็ทำมาแล้ว กำลังดำเนินคดีอยู่ พวกนี้ก็ต้องรู้ว่าเขาใช้นอมินี แต่ใครๆ ก็รู้กันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร วังน้ำเขียวก็เช่นกัน ใช้นอมินีทั้งนั้น เอาเป็นว่าถ้าพื้นที่ไหนใช้ที่ดินผิดประเภท เจ้าหน้าที่รัฐจะจัดการหมด เอาที่ดินคืนเป็นของชาติ และผู้ที่เคยได้สิทธิทำกินในอดีตก็จะหมดสิทธิไปทันที ผมไม่มีเจ้าหน้าที่ติดตาม อยากทำอะไรผมก็เชิญ ผมจะเกษียณอายุราชการแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก คนใหม่มาเขาก็ทำต่อ เพราะถ้าไม่ดำเนินการ อีกหน่อยเรื่องแบบนี้ก็เป็นเหมือนไฟลามทุ่ง จะมีแต่นอมินี เป็นรีสอร์ตบนดอยเต็มไปหมด เราต้องหยุดจะเริ่มต้นให้ได้ก่อน ซึ่งเรื่องนี้จะขยายผลไปในจังหวัดอื่นๆ ด้วย
@สมมติว่าชาวบ้านบอกว่าเอาที่ดินคืนไปอย่าดำเนินคดีกับพวกเขา จะได้หรือไม่
ที่ผ่านมา เขามักอ้างว่าซื้อมาโดยไม่รู้ ส่วนมากศาลจะพิจารณาให้รอลงอาญา แต่ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ให้เหลือแต่ที่ดินตกเป็นของอุทยานแห่งชาติฯ ไป
@จริงจังกับเรื่องนี้เคยถูกข่มขู่บ้างหรือไม่
ไม่มีหรอก แต่ยอมรับมีเข้ามาพบ มาพูดคุย บางรายส่งคนมาเจรจา 6-7 ราย ส่วนมากเป็นนักธุรกิจใหญ่ ไม่ใช่นักเลง ไม่ใช่นักการเมือง ผมทำงานนี้เสียเพื่อน เสียคนรู้จักไปเยอะ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากอธิบายให้เข้าใจ
@มีข้อเสนอให้บางสิ่งบางอย่างแลกกับไม่เอาเรื่องบ้างหรือไม่
ไม่มี จะเอาอะไรมาให้ผม ที่มาส่วนใหญ่ก็จะถามว่า มีทางออกอย่างอื่นบ้างหรือไม่ ผมบอกว่าไม่มี มันมืดมนสำหรับกฎหมายอุทยาน
@ขณะนี้ปัญหาเรื่องทรัพยากรถูกบุกรุกทำลาย ส่วนใหญ่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ท่านคิดว่ามีจุดอ่อนตรงไหน
มันเกิดจากความผิดพลาดของกรมอุทยานแห่งชาติฯ และเกิดจากความผิดพลาดของอดีตรัฐมนตรีคนเก่าก็มีส่วน เช่น การส่งเสริมให้เพาะพันธุ์เพาะเลี้ยงสัตว์ที่มีในป่าของเรา มันเป็นดาบสองคม คุณไปอนุญาตให้เลี้ยงเก้ง กวาง เสือ ฯลฯ รวมทั้งการให้แจ้งใบครอบครองสัตว์ป่า สัตว์ป่าเหล่านี้เมื่อเลี้ยงต้องมีลูก คราวนี้แจ้งบ้างไม่แจ้งบ้าง ไปเอาสัตว์ป่ามาเลี้ยงบ้าง แอบส่งตลาดมืดบ้าง ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เช่นเดียวกันการส่งเสริมให้ปลูกไม้สัก ไม้กฤษณา ฯลฯ เพราะกลัวจะหมดป่า วันนี้เป็นอย่างไร เห็นมีแต่ไปลักลอบตัดไม้ในป่า นี่คือดาบสองคม เจตนาดีแต่กลับเจอความเสียหาย น่ากลัวมาก
@ไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ละเลยหรือ
ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นเพราะพื้นที่กว้างเกินไป แต่เจ้าหน้าที่ อาวุธเครื่องมือมีน้อย ทุกวันนี้นอกจากเฝ้าระวังคนไทยกันเองแล้ว เจ้าหน้าที่ยังต้องเฝ้าระวังกองกำลังต่างชาติ ที่ลักลอบเข้ามาหากินในบ้านเรา ลักลอบตัดไม้ ลักลอบล่าสัตว์ป่า ชีวิตใครใครก็รัก แต่พวกเขาได้อะไร สวัสดิการยังไม่ค่อยจะมี เขาก็คนเหมือนกัน ได้แค่นี่ก็เก่งแล้ว เรื่องนี้ผมผลักดันไปถึงระดับรัฐมนตรี แต่ยังต้องรอการพิจารณา
@เห็นข่าวท่านเรียกร้องให้ดูแลสวัสดิการ และค่าตอบแทนบุคลากร
วันนี้เรื่องบุคลากรสำคัญมาก เรามีป่าที่ติดต่อกันถึง 4 ประเทศ แต่เจ้าหน้าที่ของเรามีน้อยมาก อาวุธก็น้อยมาก ไปร่วมกับทหารพรานเขามีอุปกรณ์ครบ เครื่องมือทันสมัย แต่ของเราเจ้าหน้าที่หากต้องปะทะกันรอก้มงออย่างเดียว แล้วเช็คเป็นตาย จิตใจมันไม่เต็มร้อย แต่เราตั้งใจทำให้เต็มที่
หลายคนถามว่าจะเกษียณอายุราชการแล้ว ทำอะไรมากมาย ผมบอกว่าเรามีทางเลือก 2 ทาง ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะทำ ตอนนี้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ยังต้องรองบประมาณ ยังเบิกไม่ได้ วันนี้เจ้าหน้าที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากขอทาน ได้รับบริจาคสิ่งของจากภาคเอกชน เงินเดือนค่าตอบแทน 4,200 บาท ถ้าเป็นโสดก็พอได้ แต่คนที่เขามีครอบครัวต้องดูแล จะทำอย่างไร วันนี้จึงต้องอาศัยของกินฟรีจากเอกชน แต่หน่วยงานราชการกลับไม่ได้มองเรื่องนี้ วันนี้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าลำบาก และจะยิ่งลำบากอีก เพราะเวลานี้ชาวบ้านล้อมป่าไว้หมดแล้ว คนที่เป็นรั้วบ้าน ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือจะอยู่ได้อย่างไร วันนี้ผมต้องใช้รายได้จากอุทยานทั่วประเทศ มาจุนเจือ แต่ช่วงนี้ลำบากอีกเพราะรายได้จากการท่องเที่ยวลดลง อาจเกิดจากสภาพปัญหาบ้านเมืองในช่วงเกิดภัยพิบัติ รายได้ปีนี้ยังติดลบ 26 ล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีอื่นๆ ที่ได้ 200-300 ล้านบาท ปัญหามันเป็นลูกโซ่กันไปหมด
@ท่านบอกว่าจะจัดระเบียบเจ้าหน้าที่ด้วย
ขณะนี้ปัญหาที่วังน้ำเขียว เราต้องให้เจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศมาจับฉลาก เพื่อหาคนที่จะรับผิดชอบดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกพื้นที่ป่า ใครเจอตอใหญ่ตอเล็กไม่ต้องสนใจ มีหน้าที่ก็ทำไป ใครไม่ไปปฎิบัติงานถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ส่วนใครที่ไปสร้างอิทธิพล หรือส่อว่าทุจริตผมจะสั่งย้ายไปอยู่ในจุดที่อันตรายสักพัก ลงโทษให้เข็ดหลาบ เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมทำมาแล้ว ไม่ได้ข่มขู่ใครนะ
@ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ย้ายข้าราชการไปกี่คนแล้ว
จำไม่ได้ แต่รู้ว่าโยกย้ายถึง 3 รอบ เป็นเรื่องของการคืนความยุติธรรมจริงๆ ไม่มีใครโวยวาย คนที่มีฝีมือ ต้องไปอยู่ในที่ที่เขาต้องแสดงฝีมือ ส่วนเรื่องย้าย เพราะลงโทษ ก็มีเหมือนกัน เช่น เรื่องไม้พะยูง ผมประกาศเอาไว้ชัดเจนว่า ใครมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้ไม้พะยูงถูกตัด ผมจะไม่เอาไว้ ต้องย้าย ถ้าไม่ทำแบบนี้ ไม้พะยูงก็หมด
@กำลังมีข่าวว่าจะผลักดันให้สร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง
ผมมองเรื่องอนาคตของภูกระดึง วันนี้ไม่มีลูกหาบแล้ว คนที่อยากขึ้นไปถ้าเดินไม่ไหวก็ต้องรอคิวนาน เมื่อก่อนมีลูกหาบพันกว่าคน วันนี้เหลือ 300 กว่าคน ในอนาคตอาจจะไม่เหลือเลย เพราะรุ่นลูกหลานพอเรียนหนังสือก็ไม่มีใครอยากมาทำอาชีพนี้อีก คนที่มีอยู่ก็แก่ชรา ที่สำคัญการหาบสมัยนี้อันตรายมาก ใช้วิธีหามคนแบบหามศพ เวลาเดินขึ้นภูก็ให้เท้าไปก่อน หัวอยู่ด้านหลัง ถ้าลูกหาบเกิดพลาดทำตกไม่ตายหรือ จากจุดนี้เองที่บรรดาชาวอีสาน ทั้งผู้ประกอบการ ชาวบ้านในพื้นที่เขาเรียกร้องให้เราสร้างกระเช้า
@สร้างกระเช้าแล้วจะทำให้คนยิ่งขึ้นไปมากหรือไม่
เราสามารถจำกัดคนได้ จองล่วงหน้าเท่าไร จะขึ้นวันไหน เวลาใด จำกัดได้ มันจะมีการหมุนเวียนคนขึ้นลง บางคนอยากขึ้นไปแต่ไม่ค้างก็มี บางคนอยากค้างก็ค้าง กระเช้าจะเป็นอีก 1 ทางเลือก ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไปถึงข้างบน และเราสามารถทำให้เขาอยู่ในเวลาอันจำกัดได้ ดีเสียอีก เพราะจะทำให้สัตว์ป่าไม่ถูกรบกวน การที่คนขึ้นไปกางเต้นท์นอนค้างคืน วันนี้ถือเป็นการเบียดเบียนที่อยู่ของสัตว์ป่า แต่ถ้ามีกระเช้าจะมีคนกลับลงมานอนข้างล่าง ทุกวันนี้คนที่ขึ้นไปส่วนใหญ่ก็รบกวนสัตว์ป่า ที่สำคัญสามารถจัดการขยะได้คือ ขนลงมาทิ้งข้างล่าง ถ้ามีคนเจ็บป่วยก็นำส่งโรงพยาบาลได้ทันที แต่ถ้าใครอยากจะเดินก็เดินไปสิ
@จะทำความเข้าใจกับกลุ่มนักอนุรักษ์อย่างไร เพราะส่วนใหญ่คิดว่าจะเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม
โอ๊ย...กลุ่มนี้เป็นเสียงส่วนน้อยต่างหาก เรื่องนี้มีการทำประชาพิจารณ์มาแล้ว มีแต่คนอยากได้ ผมเข้าใจว่าพวกเขาคัดค้าน แต่ผมยืนยันได้ว่ากระเช้านี้จะไม่กระทบต่อธรรมชาติโดยรอบ เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีทันสมัย ในต่างประเทศ เช่น เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ก็ทำกันมาแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
@จะต้องมีการตัดต้นไม้ออกหรือไม่
ต้นไม้ใหญ่ผมไม่ให้ตัดอยู่แล้ว แต่ถ้าจะมีบ้างก็เป็นต้นไม้เล็กๆ นิดหน่อย ผมคำนวณตอนนี้ไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ต้องรอให้มีการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) มาก่อน เรื่องนี้ต้องให้อีไอเอผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็เท่ากับจบ ผมไม่ดันทุรังหรอก แต่ถามว่าจะเกิดในสมัยที่ผมอยู่หรือไม่ คงอีกนาน
@ภารกิจทั้งหมดจะทำได้เสร็จสิ้นในช่วงอายุราชการหรือไม่
ผมพยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว แต่คงไม่เสร็จทั้งหมดในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งอยู่หรอก อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อมั่นว่า แม้ไม่มีผม คนใหม่ที่เข้ามาแทนผมก็จะต้องทำงานได้และสานงานเหล่านี้ต่อไป เพราะมิเช่นนั้นจะตอบคำถามสังคมไม่ได้ และจะถูกสื่อมวลชนถล่มเละเทะ โดยเฉพาะกรณีปัญหาวังน้ำเขียว ที่ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะบางคดีอาจต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี และก็ไม่จบง่ายๆ
@เกษียณอายุราชการแล้วจะเล่นการเมืองต่อหรือไม่
ไม่เอา... ผมไม่เล่น... ผมจะไปอยู่ต่างจังหวัด ที่ๆ ผมเคยอยู่ จ.เชียงราย มีคนคิดว่าที่ผมทำทุกวันนี้ เห็นผมออกทีวี ออกสื่อทุกวัน เพราะหวังผลทางการเมือง แต่ผมจะบอกให้นะว่าบนเส้นทางนี้ มีอยู่ 2 อย่าง คือ คนที่เกษียณอายุราชการเหลือปีสุดท้ายจะทำหรือไม่ทำ ผมจะแอ่นไปแอ่นมา แป๊ปเดียวก็หมดปี แต่ผมเลือกที่จะทำ...แค่นั้น...ไม่มีอะไร
@เม้าท์กันว่าท่านเป็นคนของนักการเมือง
ผมจะเป็นเด็กใคร ผมก็ไม่เคยไปทุจริต หรือหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง ผมไม่เคยไปข่มขู่ใคร เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า โดยเฉพาะตอนนี้มีคดีวังน้ำเขียวมาก ไปสืบมาได้เลย ถ้ามีใครมาบอกว่าผมเคยไปเอา ไปรับเงินใครเพื่อแลกกับไม่เอาเรื่อง ไม่ดำเนินคดี ผมให้เลยล้านบาท มีคนเลยไปพูดว่าผมต่อต้านกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม นั่นมันก็เรื่องของผม แต่ผมไม่เคยเอาอุดมการณ์ทางการเมืองมาเกี่ยวข้องกับงาน หรือหน้าที่ของผม ผมแยกแยะได้