“ประชามติ”: กลไกประชาธิปไตยที่อาจกลายเป็นบรรไดให้เผด็จการ
"ประชามติ": กลไกประชาธิปไตยที่อาจกลายเป็นบรรไดให้เผด็จการ
ในบรรยากาศของการถกเถียงกันเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงหรือยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในบ้านเรานั้น มีการเรียกร้องให้ทำการลงประชามติทั้งก่อนและหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอธิบายกันว่า เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การแก้ไขปรับปรุงหรือยกร่างรัฐธรรมนูญจึงต้องใช้อำนาจประชาชนในฐานะที่เป็นอำนาจอธิปไตยในการก่อตั้งหรือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จนดูเหมือนว่า ประชามติจะเป็นที่มาของความชอบธรรมสูงสุด อย่างไรก็ดี ประชามติหรือการลงคะแนนด้วยเสียงข้างมากแม้จะเป็นที่นิยมกันในหลายประเทศ แต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีแต่ข้อดีด้วยตัวของมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับกาละเทศะ และอำนาจที่แวดล้อมด้วย ข้อสำคัญก็คือมีข้อจำกัดตรงที่อาจถูกครอบงำหรือใช้ไปในทางที่มิชอบ หรือใช้ไปโดยสำคัญผิดหรือโดยผิดหลงได้เช่นกัน และเป็นสิ่งที่เราพึงระวังไม่ให้เกิดขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่ตัวอย่างการลงประชามติของเยอรมันในสมัยฮิตเล่อร์ทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลกเมื่อราว ๗๐-๘๐ ปีมาแล้ว และการลงประชามติของผู้ออกเสียงเลือกตั้งของมลรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อ ๓-๔ ปีมานี้ ที่กลายเป็นปัญหาให้ศาลอเมริกันตัดสินจนเป็นเรื่องโด่งดังกันไปทั่วโลก แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงโดยจำกัดเฉพาะการลงประชามติในสมัยฮิตเล่อร์เสียก่อน ส่วนการลงประชามติของแคลิฟอร์เนียนั้นจะหาโอกาสเขียนถึงในเวลาข้างหน้าต่อไป
ในโอกาสที่เรากำลังฉลองครบรอบ ๑๕๐ ปีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างไทยกับเยอรมันในปี ๒๕๕๕ นี้ ผู้เขียนหวังว่าเราจะได้นำบทเรียนของเยอรมันมาประกอบการตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรในประเทศไทยในอนาคตต่อไปบ้างไม่มากก็น้อย
วิกฤติการณ์ในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รัฐบาลแห่งจักรวรรดิ์อันมีพระเจ้าไกเซอร์เป็นประมุขก็ถูกล้มล้างไป โดยคณะผู้นำทหารในกองทัพร่วมกับผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตยของเยอรมันประกาศจัดตั้งระบอบการปกครองขึ้นใหม่ นั่นคือระบอบสาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งรู้จักกันในเวลาต่อมานามของสาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar Republic) ซึ่งตั้งชื่อตามเมืองไวมาร์อันเป็นที่ตั้งของสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น การเจรจาสงบศึกและการเลิกสถานะสงครามระหว่างเยอรมันกับฝ่ายสัมพันธมิตรสำเร็จลงด้วยการที่คู่สงครามทั้งสองฝ่ายลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์
ตามสนธิสัญญาฉบับนี้ เยอรมันจะต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นเงินทั้งสิ้น ๓ หมื่น ๓ พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงิน ๑ แสน ๓ หมื่น ๒ พันล้านมาร์คทองคำ และสนธิสัญญาฉบับนี้ยังกำหนดให้แยกแคว้นซาร์แลนด์ออกจากเยอรมัน และกองทัพเยอรมันจะมีทหารประจำการได้ไม่เกิน ๑ แสนนาย และมีการกำหนดเขตแดนของเยอรมันเสียใหม่ ซึ่งนับเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เยอรมันตกอยู่ในฐานะถูกบีบบังคับอย่างรุนแรง และเป็นต้นตอของความขัดแย้งที่จะนำไปสู่วิกฤติการณ์ในเวลาต่อมา
ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ค่าของเงินมาร์คเยอรมันมีอัตรา ๔ มาร์คต่อ ๑ ดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นอีกเพียง ๒ ปี คือในปี ๑๙๒๑ ค่าเงินตกลงหลายสิบเท่าจนทำให้เงิน ๑ ดอลล่าร์มีค่าเท่ากับ ๗๕ มาร์ค และหลังจากนั้นเพียงปีเดียว ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๒๒ เงิน ๑ ดอลล่าร์มีค่าถึง ๔๐๐ มาร์ค
ภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงในช่วงต้นปีถัดมา คือต้นปี ๑๙๒๓ เงิน ๑ ดอลล่าร์มีค่าถึง ๗,๐๐๐ มาร์ค ครั้นถึงกลางปี วันที่ ๑ กรกฎาคม ๑๙๒๓ เงิน ๑ ดอลล่าร์มีค่าเท่ากับ ๑๖๐,๐๐๐ มาร์ค และในเดือนถัดมา คือเดือนสิงหาคม ๑ ดอลล่าร์มีค่าเท่ากับ ๑ ล้านมาร์ค ค่าเงินมาร์คยังคงตกลงเรื่อย ๆ และในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง เงิน ๑ ดอลล่าร์มีค่าถึง ๔ พันล้านมาร์ค นับว่าเศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน และประเทศทั้งประเทศก็ตกอยู่ในภาวะสับสนยุ่งเหยิงอย่างที่ไม่อาจคาดหมายได้มาก่อน
ในเวลานั้นฮิตเล่อร์ได้ตั้งพรรคนาซีขึ้นและเล็งเห็นว่า กระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนได้พุ่งขึ้นสูงอย่างยิ่ง เมื่อมีการเคลื่อนไหวแยกแคว้นบาวาเรียออกจากสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้นใหม่หลังสงคราม การเมืองไร้เสถียรภาพ และสังคมปั่นป่วนวุ่นวาย ฝ่ายปกครองไม่อยู่ในฐานะจะรักษาความสงบไว้ได้เหมือนก่อน จึงมีการประกาศภาวะฉุกเฉินในบาวาเรีย ช่วงนี้เองที่ฮิตเล่อร์ได้ฉวยโอกาสร่วมกับนายทหารในท้องถิ่นเข้าทำการยึดอำนาจรัฐในดินแดนแคว้นบาวาเรียทางตอนใต้ของเยอรมันใน แต่ต้องคว้าน้ำเหลวและถูกศาลพิพากษาลงโทษในข้อหากบถ โดยให้ลงโทษกักกันเป็นเวลา ๕ ปี แต่ได้รับการปล่อยตัวจากการกักกันหลังจากเวลาผ่านไปเพียง ๙ เดือน เพราะมีความประพฤติดี
ระหว่างที่อยู่ในคุกนี้เอง ฮิตเล่อร์ได้เขียนหนังสืออันลือชื่อเรื่อง "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" ในช่วงนี้เองที่เขาตระหนักดีว่า ทางเดียวที่เขาจะขึ้นสู่อำนาจในเยอรมันได้ก็คือเขาต้องขึ้นสู่อำนาจตามกติกา และเขาจึงวางแผนที่จะทำให้คนทั้งหลายยอมรับเขาในฐานะผู้ที่ต่อสู้ตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย
หลังจากฮิตเล่อร์พ้นโทษ เขาได้นำพรรคนาซีของเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจการเมืองโดยประสบความสำเร็จเป็นลำดับ ในการเลือกตั้งเมื่อปี ๑๙๒๘ เขาได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนราว ๘ แสนคะแนนหรือได้คะแนนนิยมไม่ถึงร้อยละ ๓ นับเป็นพรรคที่ใหญ่เป็นอันดับ ๙ ของพรรคการเมืองทั้งหมด และมีที่นั้งในรัฐสภาของสาธารณรัฐเพียง ๑๒ ที่นั่ง ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นพรรคใหญ่อันดับสามได้รับคะแนนเสียงถึง ๓ ล้าน ๒ แสนคะแนน หรือราวร้อยละ ๑๐ และมีที่นั่งในสภาถึง ๕๔ ที่นั่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในอเมริกาในปี ๑๙๒๙ ราว ๑ ปี และกระแสความถดถอยฝืดเคืองทางเศรษฐกิจแผ่ไปทั่ว จนทำให้รัฐบาลเยอรมันของนายกรัฐมนตรีบรึนนิง (Bruenning) ตัดสินใจใช้นโยบายรัดเข็มขัดโดยตัดลดงบประมาณรายจ่ายลงครั้งใหญ่ เกิดความฝืดเคืองไปทั่วเยอรมัน คนยากจน คนงาน และชนชั้นกลางประสบความยากลำบากแสนสาหัส ในขณะที่คนมีฐานะร่ำรวยและชนชั้นสูงได้รับผลกระทบไม่มากนัก ครั้นมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในเดือนพฤติกายน ๑๙๓๐ คราวนั้นเองความนิยมในพรรคนาซีได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และพรรคนาซีได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึง ๖ ล้าน ๔ แสนคะแนนหรือราวร้อยละ ๑๘ และกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสอง โดยมีที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นจาก ๑๒ ที่นั่งเป็น ๑๐๗ ที่นั่ง
ในปี ๑๙๓๒ อัตราการว่างงานในเยอรมันพุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละ ๒๕ มีคนว่างงานมากถึง ๖.๕ ล้านคน รายได้ครัวเรือนของชาวเยอรมันลดลงร้อยละ ๔๐ เมื่อเทียบกับรายได้ครัวเรือนในปี ค.ศ. ๑๙๒๙ ในช่วงนี้เองที่พรรคนาซีได้รับความนิยมพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ๑๙๓๒ นั้น พรรคนาซีได้รับคะแนนนิยมถึง ๑๓ ล้าน ๗ แสนคะแนน หรือราวร้อยละ ๓๗.๓ และได้ที่นั่งในสภาถึง ๒๓๐ ที่นั่ง กลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ตามมาด้วยพรรคสังคมประชาธิปไตย ซึ่งได้ที่นั่งในสภา ๑๓๓ ที่นั่ง ตกอันดับจากพรรคใหญ่อันดับหนึ่งกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสองรองจากพรรคนาซี
ขณะที่จำนวนผู้แทนราษฎรของพรรคนาซีมีจำนวนมากขึ้นนี้เอง รัฐสภาเยอรมันก็เริ่มมีอาการล้มเหลวและตกอยู่ในสภาวะไร้ความสามารถปฏิบัติงานลงเรื่อย ๆ ดังจะเห็นได้จากการประชุมสภา ซึ่งในช่วง ๑๙๒๐ ถึง ๑๙๓๐ นั้น รัฐสภาประชุมกันราว ๑๐๐ ครั้งต่อปี แต่ระหว่างเดือนตุลาคม ๑๙๓๐ ถึง กุมภาพันธ์ ๑๙๓๑ ช่วงสี่เดือนนั้นมีการประชุม ๕๐ ครั้ง ซึ่งเป็นการประชุมที่ต้องประสบปัญหาวุ่นวายปั่นป่วนและต้องเลิกกลางคันหลายครั้ง เพราะการชุมนุมประท้วงและขัดขวางการประชุมของพลพรรคนาซีและพลพรรคคอมมิวนิสต์ในสภา ในขณะที่ฮิตเล่อร์กล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพรรคการเมืองทั้งหลายกำลังทำให้การปกครองกลายเป็นอัมพาต เขาก็สนับสนุนให้พลพรรคนาซีทำการก่อกวนทางการเมืองแบบเดียวกัน
ผลจากความสับสนวุ่นวายในระยะนี้ก็คือ นับจากเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๓๑ สภาก็ไม่สามารถประชุมกันได้เป็นเวลาราว ๖ เดือน และระหว่างเดือนมีนาคม ๑๙๓๑ ถึงเดือนกรกฎาคม ๑๙๓๒ ในช่วงเวลาเกือบปีครึ่งนั้น รัฐสภากลับมีการประชุมกันเพียง ๒๔ ครั้ง และระหว่างช่วงสิงหาคม ๑๙๓๒ จนถึงช่วงที่ฮิตเล่อร์เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเดือนมกราคม ๑๙๓๓ นั้น มีการประชุมสภาเพียง ๓ ครั้ง
ทันทีที่ฮิตเล่อร์เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาก็รู้สึกได้ว่ากำลังมีโอกาสได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนชาวเยอรมันอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ และในระหว่างรณรงค์เลือกตั้งนั้นเอง เขาได้ร่วมกับเฮร์มัน เกอร์ริงซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีตำรวจวางแผนก่อวินาศกรรมด้วยการวางเพลิงเผารัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๗ เดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๓๓ แล้วอ้างว่าการลอบวางเพลิงเป็นฝีมือของคอมมิวนิสต์ที่มุ่งจะล้มล้างการปกครอง เป็นเหตุให้จอมพลฮินเดนบวร์ก ประธานาธิบดีในเวลานั้น ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ระงับใช้รัฐธรรมนูญ และมอบอำนาจให้ฮิตเลอร์ในฐานะนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจในภาวะฉุกเฉินได้ ภายใต้อำนาจบริหารงานในภาวะฉุกเฉิน พลพรรคนาซีก็ชนะการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม โดยได้รับคะแนนนิยมร้อยละ ๔๔
เมื่อเปิดสภาในเดือนมีนาคม ๑๙๓๓ นั้นเอง ฮิตเล่อร์ได้ประกาศอย่างก้าวร้าวว่าจะเสนอกฎหมายให้สภามอบอำนาจการปกครองในภาวะฉุกเฉินแก่ตนเองเป็นการถาวร แต่แทนที่บรรดาผู้นำของพรรคอื่น ๆ ซึ่งหากรวมกันได้ก็มีคะแนนเสียงมากกว่าฮิตเล่อร์ จะทำการคัดค้านฮิตเล่อร์ได้ กลับแตกคอกัน และต่างคิดจะอาศัยฮิตเล่อร์กำจัดคู่แข่งของตัว ทั้งเชื่อว่าในทางการเมืองระยะยาวฮิตเล่อร์จะไปไม่รอดอยู่ดี จึงยอมผ่านกฎหมายดังกล่าว โดยหลงเชื่อว่าฮิตเล่อร์จะปฏิบัติตามสัญญาลับที่ได้ทำไว้กับพวกตน ซึ่งต่อมาบรรดาพรรคเหล่านั้นก็ต้องรับผลกรรม เพราะเมื่อฮิตเล่อร์ได้รับอำนาจการปกครองในภาวะฉุกเฉินไปแล้ว ก็ได้ประกาศเป็นผู้นำแบบเบ็ดเสร็จ ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในฝ่ายปกครองและฝ่ายบริหาร จะเป็นรองก็แต่เฉพาะประธานาธิบดีซึ่งเป็นประมุขของรัฐเท่านั้น ภายในระยะเวลาไม่เกินสี่เดือนนับจากนั้น นักการเมืองจำนวนหนึ่งถูกกำจัด บรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ยอมมอบอำนาจให้ฮิตเล่อร์ก็ถูกสั่งยุบพรรค หรือไม่ก็ถูกบีบบังคับให้ยอมยกเลิกพรรคไป ในเดือนกรกฎาคม ๑๙๓๓ อำนาจการปกครองก็อยู่ในมือฮิตเล่อร์ ในฐานะผู้นำพรรคนาซีที่เหลืออยู่เพียงพรรคเดียวของเยอรมัน และเป็นพรรคที่กลายเป็นฝ่ายเสียงข้างมากอย่างสมบูรณ์
เมื่อฮิตเล่อร์ได้อำนาจเบ็ดเสร็จมาอยู่ในมือ การปกครองแบบรัฐสภาก็กลายเป็นแต่เพียงตรายาง ระหว่าง ๖ ปีกว่า นับตั้งแต่มีนาคม ๑๙๓๓ จนถึงเวลาที่ฮิตเล่อร์ประกาศสงครามในเดือนกันยายน ๑๙๓๙ นั้นมีการประชุมสภาเพียง ๑๒ ครั้ง และมีการตรากฎหมายเพียง ๔ ฉบับ ระหว่างช่วงนี้ไม่มีการอภิปรายโต้เถียงอะไรที่สลักสำคัญกันในสภา นอกจากการอภิปรายแบบอบรมสั่งสอนโดยฮิตเล่อร์
ในระหว่างสงครามนี้เอง ๖ เดือนหลังจากที่เยอรมันได้ประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา และราว ๑ ปีนับแต่เข้าโจมตีโซเวียตรัสเซีย เมื่อ ๒๖ เมษายน ๑๙๔๒ รัฐสภาเยอรมันก็ได้มีมติตรากฎหมายมอบอำนาจเด็ดขาดให้ฮิตเล่อร์ในฐานะ "ท่านผู้นำ" ของชาติมีอำนาจเด็ดขาดเหนือชะตากรรม และความเป็นความตายของชาวเยอรมันทุกคน โดยมีอำนาจระงับใช้กฎหมายทั้งปวงที่ขัดต่อความประสงค์ของท่านผู้นำ
"ในสงครามครั้งนี้ ชาวเยอรมันต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดจากการทำลายล้างของศตรู และท่านผู้นำต้องมีอำนาจที่จะกำหนดมาตรการทั้งปวงเพื่อนำชาติต่อสู้ไปสู่ชัยชนะให้ได้ ดังนั้น ท่านผู้นำจึงไม่พึงต้องตกอยู่ใต้บังคับของหลักเกณฑ์อื่นใด และพึงมีอำนาจเต็มในฐานะผู้นำของชาติ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ ประมุขของรัฐบาล และผู้ถืออำนาจบริหารสูงสุด ตลอดจนเป็นประธานสูงสุดของศาลและเป็นหัวหน้าพรรค โดยท่านผู้นำพึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ชาวเยอรมันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทหาร ข้าราชการ ตุลาการ เจ้าหน้าที่ของพรรค คนงาน หรือนายจ้าง ไม่ว่าจะมีตำแหน่งเล็กใหญ่เพียงใด ต้องทำการทั้งปวงตามที่เห็นจำเป็นเพื่อบรรลุภาระหน้าที่ของตน ในการนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน ท่านผู้นำย่อมชอบที่จะสอบสวนและลงโทษตามที่เห็นสมควร โดยไม่ต้องคำนึงถึงความดีความชอบที่เคยมีมา และมีอำนาจปลดผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามหน้าที่เหล่านั้นให้พ้นจากตำแหน่งยศ และสถานะทั้งปวง ทั้งนี้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนพิจารณาอย่างเป็นทางการใด ๆ" (RGBl. 1942, S.247.
การลงประชามติใน "ประชาธิปไตย" ภายใต้กำกับของฮิตเล่อร์
เครื่องมือหรือกลไกในทางการเมืองและในทางยุทธศาสตร์ของฮิตเล่อร์ในการก้าวเข้าสู่การเถลิงอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในครั้งนั้น ก็คือการใช้กระบวนการที่ดูเหมือนจะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่สุด แต่กลายเป็นเครื่องมือรองรับระบอบเผด็จการอย่างถึงที่สุด นั่นคือการใช้กระบวนการลงประชามติ
กระบวนการลงประชามติถูกฮิตเล่อร์นำมาใช้เพื่อสร้างภาพลวงตาแห่งประชาธิปไตยขึ้น การเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยด้วยการลงประชามติ เป็นไปตามแผนที่ฮิตเล่อร์วางไว้เป็นขั้นเป็นตอนด้วยการชักชวนให้ร่วมกันตัดสินใจอย่างเป็นประชาธิปไตยในฐานะผู้ทรงอำนาจอธิปไตย ฮิตเล่อร์รณรงค์ โหมสร้างกระแสการเมืองอย่างหนักให้ผู้คนพากันเชื่อว่า การจับมือเดินไปกับฮิตเล่อร์ก็คือกระบวนการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ที่เรียกว่าประชาธิปไตยทางตรง
ประชาชนชาวเยอรมันในยุคนั้นต่างก็ติดกับอยู่ในมายาภาพที่ถูกสร้างขึ้นให้เชื่อว่าตนเป็นผู้กำหนดเจตจำนงทั่วไปของประชาชนด้วยความสมัครใจผ่านการลงประชามติ ทั้ง ๆ ที่การลงประชามติแต่ละครั้ง ล้วนดำเนินไปภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อ และการจัดฉากความพร้อมพรักสมัครใจทางการเมืองขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ โดยประชาชนถูกชักนำให้มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้การปกครองแบบมีอำนาจเบ็ดเสร็จของพรรคนาซีเพียงพรรคเดียว ด้วยความเชื่อว่าพรรคนาซีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชนและรับใช้ประชาชน กระบวนการลงประชามติจึงเป็นการลงหลักปักฐานและตอกย้ำอำนาจของฮิตเล่อร์ให้ผนึกเป็นปึกแผ่นลงบนกระแสความคิดของประชาชนด้วยเทคนิคทางจิตวิทยามวลชน และกระแสรักชาติที่ฮิตเล่อร์โหมสร้างขึ้น
การลงประชามตินั้น ในทางเนื้อหาเป็นการลงคะแนนเสียงรับรองหรือไม่รับรองข้อเสนอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในแง่นี้การลงประชามติที่แม้จะเป็นการลงคะแนนตามอารมณ์ความรู้สึก โดยขาดความอิสระและการโต้เถียงอย่างจริงจัง หากไม่มีการพิเคราะห์อย่างระมัดระวังก็ย่อมเป็นที่ยอมรับว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตย ขณะเดียวกันกระบวนการลงประชามติที่ผิวเผินก็ย่อมเป็นกับดักสำหรับฝูงชน เพราะฝูงชนที่มาลงประชามติมักตัดสินเรื่องราวโดยไม่ได้รับการกระตุ้นเตือนให้ทำการคิดไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งจริงจัง
ปัญหาหลายเรื่องที่ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นเรื่องที่อาจตัดสินใจได้ง่าย ๆ ตามสามัญสำนึกนั้น แท้จริงอาจมีประเด็นปัญหาซ้อนอยู่เบื้องหลังที่ซับซ้อนหลากหลาย และมีผลกระทบหลายชั้น การลงประชามติที่เป็นการตัดสินใจเรื่องที่ซับซ้อนที่ซ่อนอยู่เหล่านั้น โดยอาศัยความรับรู้อย่างผิวเผินของประชาชนและจบในตัวของมันเองจึงอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาแก่ประชาชนได้โดยไม่รู้ตัว
ในแง่นี้การลงประชามติจึงเป็นเครื่องมือที่ให้ผลต่างจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งบุคคลที่ตนไว้วางใจให้เป็นผู้แทนของตัว โดยให้ผู้แทนเหล่านั้นไปแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันในรายละเอียด โดยมีเวลาไตร่ตรองอย่างเพียงพอ และผ่านกระบวนการพิจารณาเรื่องราวจากผู้มีความเห็นแตกต่างหลากหลายในสภาอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะลงมติ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่า ถ้าประชาชนมีการศึกษาดี มีผู้นำที่ซื่อสัตย์และจริงใจการลงประชามติก็เป็นสิ่งที่ไม่มีอันตราย แต่จากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าประชามติมักเป็นที่นิยมในระบบการเมืองที่มีผู้นำที่ค่อนข้างเข้มแข็งหรือมีอำนาจครอบงำสังคม การลงประชามติจึงมักถูกใช้เพื่อตอบสนองความต้องการเสริมสร้างความชอบธรรมในการตัดสินใจเพียงลำพังของผู้นำ หรือต้องการเสริมสร้างการยอมรับสถานะของตัวในการใช้อำนาจผู้นำ ดังที่เห็นได้จากความนิยมประชามติในยุคจักรวรรดิโรมัน
อันที่จริงการลงประชามติที่ปฏิบัติกันในยุคโรมันนั้น แสดงออกมาในรูปของการตัดสินความเป็นความตายของนักสู้ในสังเวียน ด้วยการชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น หรือทิ่มลงสู่พื้นดิน เป็นการตัดสินไว้ชีวิตหรือประหารชีวิตนักสู้ผู้พ่ายแพ้บนสังเวียนเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง กระบวนการนี้จึงเป็นที่นิยมของผู้ปกครองที่มีอำนาจครอบงำ หรือผู้นิยมระบอบจักรพรรดิอย่างเช่นนโปเลียน ซึ่งนับได้ว่าเป็นผู้รื้อฟื้นการลงประชามติขึ้นมาใช้ในยุคใหม่ เมื่อเขาต้องการให้ประชาชนรับรองฐานะ "กงสุล" หรือผู้นำอันทรงอำนาจของฝรั่งเศสเมื่อ ๗ กุมภาพันธ์ ๑๘๐๐ ในการลงประชามติครั้งนั้น ผลเป็นไปดังที่นโปเลียนคาด คือชาวฝรั่งเศสกว่า ๓ ล้านคนได้ลงมติ "เห็นชอบ" แก่การเถลิงอำนาจผู้นำเผด็จการของฝรั่งเศส โดยมีผู้ลงคะแนนไม่เห็นชอบเพียง ๕๖๒ ราย
แม้ฮิตเล่อร์ไม่อาจอ้างว่าตนได้รับความนิยมอย่างเด็ดขาดเหมือนนโปเลียน แต่ก็อาจกล่าวได้ว่า เขาได้รับความนิยมมากใกล้เคียงกัน เพราะในการลงประชามติใหญ่ ๔ ครั้งในยุคของฮิตเล่อร์นั้น ฮิตเล่อร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ในการลงประชามติครั้งแรกเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน ๑๙๓๓ เพื่อให้ประชาชนรับรองการตัดสินใจของรัฐบาลเยอรมันในการถอนตัวออกจากความผูกพันตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่จำกัดกำลังทหารของเยอรมันนั้น มีผู้มาลงคะแนนเสียงมากถึงร้อยละ ๙๖ และเขาได้รับคะแนนรับรองหรือเห็นชอบด้วยคะแนนสูงถึงร้อยละ ๙๕ ที่ยิ่งน่าประหลาดใจก็คือ ตามรายงานผลการลงคะแนนในครั้งนั้น ปรากฏว่า แม้แต่ผู้ถูกกักกันในค่ายบังคับใช้แรงงานที่ Dachau ที่มาลงคะแนนจำนวน ๒,๒๔๒ เสียงนั้น มีจำนวนถึง ๒,๑๕๔ เสียงที่ลงคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยกับฮิตเล่อร์
การลงประชามติครั้งที่สองของฮิตเล่อร์นับเป็นการลงประชามติที่เกิดผลสำคัญต่อชาติเยอรมัน คือการลงมติเห็นชอบกับการเข้าสู่อำนาจของฮิตเล่อร์ อันมีผลรับรองให้เขามีฐานะเป็นผู้นำสูงสุดตามกฎหมายในทุกฐานะ ตั้งแต่ฐานะนายกรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล และฐานะประธานาธิบดีอันเป็นประมุขของรัฐ การลงประชามติครั้งนั้นกระทำเมื่อ ๑๙ สิงหาคม ๑๙๓๔ โดยมีผู้มาออกเสียงทั้งหมดร้อยละ ๙๕ และมีผู้รับรองข้อเสนอดังกล่าวร่วมร้อยละ ๘๙ หรือราว ๓๘ ล้านเสียง
น่าสังเกตว่าคนเยอรมันที่มาออกเสียงได้ลงมติเห็นชอบให้ฮิตเล่อร์เป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐอย่างท่วมท้น ซึ่งนับว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากผลการเลือกตั้งทั่วไปคราวก่อนหน้านั้นราว ๑๘ เดือนหรือราวปีครึ่งซึ่งฮิตเล่อร์และพรรคนาซีของเขาได้รับคะแนนนิยมเพียง ๑๗ ล้านเสียงหรือราวร้อยละ ๔๔ ของผู้มาออกเสียงลงคะแนนทั้งหมด ทำให้น่าคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
การตอบปัญหาข้อนี้ เราอาจอธิบายได้ว่า การที่ฮิตเล่อร์ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้่นอย่างมากในการลงประชามติครั้งนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้รับความนิยมมากถึงขนาดนั้น ก็เป็นเพราะเขาไม่มีคู่แข่ง หรือฝ่ายค้านหลงเหลืออยู่ เพราะก่อนหน้านั้นในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม ๑๙๓๓ ฮิตเล่อร์ได้กวาดล้างนักการเมืองฝ่ายค้านไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว และด้วยเหตุนี้เองจึงมีคนน้อยแสนน้อยที่จะบังอาจคิดต่างจากฮิตเล่อร์ได้ และด้วยเหตุนี้คะแนนนิยมของฮิตเล่อร์จึงพุ่งขึ้นสูงจนเกือบจะเทียบชั้นกันได้กับนโปเลียน
การลงประชามติครั้งที่สามของฮิตเล่อร์มีขึ้นเมื่อ ๒๙ มีนาคม ๑๙๓๖ เพื่อรับรองการส่งกำลังทหารเข้าไปตั้งประจำการอยู่ในแคว้นไรน์ ซึ่งนับเป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ทิ้ง เพราะตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์นั้นต้องเป็นเขตปลอดทหาร ห้ามไม่ให้มีกองกำลังทหารของเยอรมันตั้งอยู่ ในครั้งนั้นประชาชนเยอรมันร้อยละ ๙๙ พากันไปลงประชามติ และมีผู้ลงคะแนนรับรองการส่งทหารเข้าครองแคว้นไรน์ถึงร้อยละ ๙๘.๘ ทีเดียว
การลงประชามติครั้งที่สี่ของฮิตเล่อร์มีขึ้นเมื่อ ๑๐ เมษายน ๑๙๓๘ เพื่อรับรองการผนวกประเทศออสเตรียเข้ากับเยอรมัน ซึ่งปรากฏว่ามีผู้มาออกเสียงถึงร้อยละ ๙๔.๖ และมีผู้ลงคะแนนรับรองถึงร้อยละ ๙๙ ทีเดียว
การลงประชามติเหล่านี้ ชาวเยอรมันในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นปรากฏการณ์ของ "ความหลงผิด" หรือ "ความสำคัญผิด" ในระบอบประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมัน และก่อผลกระทบร้ายแรงที่สุดในโลกทีเดียว