ยกฟ้อง 'เจนภพ วีรพร' ข้อหาเมา-เสพยาแล้วขับ ความจงใจของใคร?
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นัดฟังคำพิพากษา กรณีที่พนักงานอัยการและโจทก์ร่วม (ญาติผู้ตาย) ได้ยื่นฟ้อง นายเจนภพ วีรพร กรณี ขับรถเบนซ์พุ่งชนรถฟอร์ด จนเกิดเพลิงไหม้รถ เป็นเหตุให้นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย อดีตนักศึกษาปริญญาโทเสียชีวิต เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 ใน 7 ข้อหา ประกอบด้วย
1.ขับรถโดยประมาทอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2. ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายที่กำหนด
3. ขับรถในขณะเมาสุราหรือเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
4. เป็นผู้ขับรถเสพยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
5. ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ
6. ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
7. เป็นผู้ขับฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือพนักงานสอบสวนที่สั่งให้มีการทดสอบ และตรวจสอบผู้ขับรถตามกฎหมาย โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร
ขณะที่จำเลยยอมรับสารภาพเพียง 3 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาท ขับรถด้วยความเร็ว และขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ส่วนอีก 4 ข้อหาที่เหลือ จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลมีคำพิพากษาว่า จากการพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานคือตำรวจ พยาบาล เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ให้การขัดแย้งในเรื่องการเจาะเลือดจำเลยในวันเกิดเหตุ จึงไม่มีการเจาะเลือดจำเลย จึงไม่อาจฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดในข้อหาเมาสุราขณะขับรถ ต่อมาภายหลังพนักงานสอบสวนส่งสำนวนว่า ได้ให้ โรงพยาบาลสมิติเวช ทำการเจาะเลือดเพื่อหาสารเสพติดเมทแอมเฟตามีน ซึ่งในสำนวนไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าสำนวนการสอบสวนดังกล่าวทำขึ้นเมื่อใดเพราะไม่ได้ลงวันที่ และมีการแก้ไขขีดฆ่า ส่วนน้ำหมึกบนเอกสารบางตอนก็ไม่เหมือนกัน เอกสารดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยกประโยชน์ให้จำเลยยกฟ้องในข้อหานี้
ส่วนความผิดในข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และทำให้มีผู้เสียชีวิต จากการพิเคราะห์พยานหลักฐานพบว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกในหลายมาตรา ศาลพิพากษาให้รับโทษสูงสุดจำคุก 5 ปี แต่จำเลยให้การับสารภาพ คงเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีวิต
จากข้อเท็จจริงในคำพิพากษา หากเป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่าตำรวจหรือพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นผู้รวบรวมหลักฐานขั้นต้น มีส่วนอย่างมากทำให้คดีมีช่องโหว่ ศาลจึงยกฟ้อง 2 ข้อหาคือ ขับรถในขณะเมาสุราหรือเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเป็นผู้ขับรถเสพยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีโทษหนักจำคุกถึง 3 - 10 ปี ( มาตรา 43 ทวิประกอบ มาตรา 157/1 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522
เป็นผลให้จำเลยได้รับโทษในข้อหาเดียวซึ่งเป็นโทษสูงสุดที่ได้รับ ลดโทษหลังรับสารภาพเหลือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน
ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ
1. ทำไมพนักงานสอบสวนซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการรวบรวมพยานหลักฐานถึงไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายในการตรวจเลือดเจนภพซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญต่อการเมาแล้วขับในคดีอื่นๆ
2. การไปร้องขอให้โรงพยาบาลสมิติเวชตรวจสอบหาสารเสพติดทำไมพนักงานสอบสวนถึงให้ตรวจหาแต่สารเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า เพียงอย่างเดียวทั้งที่หลักฐานที่พบภายในรถของเจนพบมีสารเสพติดประเภท 4 อยู่
3. โรงพยาบาลสมิติเวชตรวจไม่พบสารเมทแอมเฟตามีหรือยาบ้า แต่พนักงานสอบสวนกลับทำเอกสารมีการแก้ไขทำให้เอกสารนั้นมีพิรุธ ศาลจึงไม่รับพิจารณา เพราะมองว่าเป็นเอกสารที่ได้มาโดยมิชอบ กรณีนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ
4. คดีขับรถเมาสุราและเสพสารเสพติดขณะขับรถ เป็นความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหายโจทก์ร่วมจึงไม่สามารถที่จะยื่นฟ้องในคดีนี้ได้ ผู้เสียหายในกรณีนี้จึงเป็นรัฐเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามว่ารัฐจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับกรณีนี้ พนักงานสอบสวนในคดีนี้จะต้องรับผิดชอบหรือไม่?
หมายเหตุ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2560
มาตรา 43 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ทั้งนี้ ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการมีอำนาจจัดให้มีการตรวจสอบผู้ขับขี่รถบางประเภทตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าได้เสพยาเสพติดให้โทษหรือเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามวรรคหนึ่งหรือไม่ และหากผลการตรวจสอบในเบื้องต้นปรากฏว่าผู้ขับขี่นั้นไม่ได้เสพก็ให้ผู้ขับขี่นั้นขับรถต่อไปได้
ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ตรวจสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการมีอำนาจกักตัวผู้นั้นไว้ เพื่อดำเนินการตรวจสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การตรวจสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว และเมื่อผู้นั้นยอมรับการตรวจสอบแล้ว หากผลการตรวจสอบในเบื้องต้นปรากฏว่าไม่ได้เสพ ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที
การตรวจสอบตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 157/1 ผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการที่ให้มีการตรวจสอบผู้ขับขี่ตามมาตรา 43 ทวิ หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ตรวจการที่ให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ตามมาตรา 43 ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
ผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอีกหนึ่งในสาม และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าสองปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก google