เศรษฐกิจบริการแบบ “หลั่นล้า” : อนาคตของไทย
ในยุคที่กระแสเศรษฐกิจโลกหันมาสู่ภาคบริการ ซึ่งเป็นภาคที่เราถนัดและโดดเด่นอยู่แล้วในระดับโลก ประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะโดดเด่นได้มากยิ่งกว่าที่ผ่านมา สำคัญคือเราต้องทำให้เศรษฐกิจหลั่นล้าเติบโตไปในทางที่ดี มีคุณภาพและมูลค่าสูง
เร็วๆ นี้ สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเวทียุทธศาสตร์ครั้งที่ 7 เรื่อง อนาคตเศรษฐกิจไทย : พึ่งพิงเศรษฐกิจภาคบริการและ/หรือเศรษฐกิจแบบหลั่นล้า มี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นวิทยากรบรรยายนำ มีเนื้อหาและข้อเสนอที่น่าสนใจ ดังนี้
ภาคบริการคือส่วนหลักของเศรษฐกิจโลกและไทย
รศ.ดร.วรากรณ์ ชี้ว่า หลายปีที่ผ่านมา ภาคบริการได้กลายเป็นส่วนหลักของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยไปแล้ว ในปี 2016 GDP ในแต่ละสาขาของเศรษฐกิจโลกนั้น พบว่าภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ขณะที่สัดส่วนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรอยู่ที่ร้อยละ 30 และ 6 ตามลำดับ สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยในปีเดียวกันที่ GDP มาจากภาคบริการร้อยละ 52 ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 34 และภาคเกษตรร้อยละ 13 เศรษฐกิจภาคบริการจึงเป็นทิศทางในปัจจุบันและอนาคตของโลกและไทย
เหตุใดเศรษฐกิจโลกจึงเปลี่ยนสู่ภาคบริการ
ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้โลกหันมาสู่เศรษฐกิจภาคบริการคือ 1) เทคโนโลยีใหม่ที่มาเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต (Disruptive Technology) ไปในทางที่ใช้แรงงานคนน้อยลง 2) ความอิ่มตัวของเศรษฐกิจการผลิตแบบโรงงาน (Factory Economy) หรือการผลิตแบบที่เน้นปริมาณและต้นทุนต่ำ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปค่าแรงของแต่ละประเทศก็จะสูงขึ้นจนไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่เพิ่งพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาได้ และ 3) ความยืดหยุ่น คล่องตัวและหลากหลายในการปรับตัวของภาคบริการ เช่น เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมาก ก็เกิดธุรกิจบริการ ตั้งแต่ร้านอาหาร สถานบันเทิง ร้านนวด สปา ฯลฯ ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และมีห่วงโซ่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย เหตุผลเหล่านี้ส่งเสริมให้แรงงานหันออกจากภาคอุตสาหกรรมที่อิ่มตัวและเริ่มใช้เทคโนโลยีทดแทนคน มาสู่ภาคบริการมากขึ้น
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมด้วยการอธิบายพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ทำให้โลกเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจภาคบริการว่า ตามทฤษฎีของ Klaus Schwab ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum เศรษฐกิจโลกผ่านจุดพลิกผันใหญ่อันเกิดจากการเปลี่ยนวิถีการผลิต ด้วย Disruptive Technology มาแล้ว 3 ครั้ง จนกำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ 4.0 ในปัจจุบัน จากยุค 1.0 ที่เปลี่ยนจากการผลิตโดยช่างฝีมือในโรงช่างขนาดเล็ก มาเป็นการผลิตในโรงงานที่ใช้คนจำนวนมาก (mass production) ด้วยการเกิดขึ้นของเครื่องจักรไอน้ำ มาสู่ยุค 2.0 และ 3.0 ที่การผลิตขนาดใหญ่เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรที่ใช้พลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นยุคบริษัทใหญ่ครองโลกหรือยุค visible hand ที่ต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ และปัจจุบันเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนอีกครั้งเข้าสู่ยุค 4.0 ที่วิถีการผลิตเปลี่ยนจาก mass production ไปสู่วิถีการผลิตใหม่ด้วย Disruptive Technology ในยุคนี้ที่ได้แก่เทคโนโลยีจำพวกดิจิทัล หุ่นยนต์ชั้นสูง และ Internet of Things
Disruptive Technology กับการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าเศรษฐกิจโลก
Disruptive Technology คือเทคโนโลยี นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงวิธีทำ วิธีผลิต กิจกรรมของคนเราในเรื่องนั้นๆ ไปโดยสิ้นเชิง Disruptive Technology นั้นความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนพัฒนาการของมนุษย์มาตลอดประวัติศาสตร์ การประดิษฐ์รั้วลวดหนามขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ทำให้คาวบอยหายไป เพราะการขึงรั้วลวดหนามทำหน้าที่ทดแทนคาวบอยในการต้อนปศุสัตว์ให้อยู่ในเขตพื้นที่หนึ่งๆ รั้วลวดหนามจึงเป็น Disruptive Technology ในยุคหนึ่ง
ส่วนในยุค 4.0 จากการศึกษาของ Mckinsey Global Institute มีตัวอย่าง Disruptive Technology ที่สำคัญเช่น อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่, หุ่นยนต์ชั้นสูงที่เข้าไปทำงานแทนคนหรือสิ่งที่คนทำไม่ได้ (เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด รถยนต์ไร้คนขับ โดรน ฯลฯ), การที่ทุกสิ่งเชื่อมกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) ทำให้เกิด Big Data, ระบบการสำรองข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต (Cloud), พลังงานทดแทนที่ก้าวหน้า หรือการพิมพ์แบบสามมิติ เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมในในวงการต่างๆ และการเกิดและดับของธุรกิจแล้วธุรกิจเล่า ปัจจุบัน หลายประเทศทยอยเข้าสู่สังคมที่ปราศจากเงินสดหรือใช้เงินสดน้อยลงมาก เช่น จีน ลิธัวเนีย สวีเดน ที่ไม่ว่ากิจกรรมอย่างการให้เงินขอทานหรือเล่นไพ่นกกระจอก ล้วนทำผ่านแอพพลิเคชั่นจ่ายเงินบนมือถือทั้งสิ้น นำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ของภาคการเงินการธนาคาร
เหตุที่มีการพัฒนา Disruptive Technology ขึ้นมาเนื่องจากในยุคเศรษฐกิจ 2.0 และ 3.0 ที่ผ่านมาและยังคงดำรงอยู่ในหลายที่นั้น การผลิตแบบ mass ทำให้เกิดสังคมลูกจ้าง โดยเฉพาะในโลกตะวันตก ที่คนในสังคมเกือบทั้งหมดเป็นลูกจ้าง แต่เมื่อกำลังแรงงานของโลกตกลง เพราะจำนวนประชากรเพิ่มน้อยลงและสูงอายุมากขึ้น การผลิตแบบใช้แรงงานจำนวนมาก (labour-intensive) จึงเป็นไปได้ยากขึ้น ประเทศก้าวหน้าจึงต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีที่จะมาช่วยทดแทนแรงงานคน ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจ 3.0 มาสู่ 4.0 นี้ โลกจึงประสบปัญหาสองเรื่องควบคู่กัน คือเมื่อคาดการณ์ว่าในอนาคตจะขาดกำลังแรงงานเพราะสังคมสูงอายุ จึงคิดค้นเทคโนโลยีขึ้นมาแทนที่คน ซึ่งก็ทำให้แรงงานคนที่มีอยู่ในปัจจุบันเริ่มทยอยตกงาน
แนวทางพัฒนาเศรษฐกิจภาคบริการยุค 4.0 ในประเทศไทย : เน้นเศรษฐกิจหลั่นล้า
เมื่อประเทศต่างๆ กำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจภาคบริการนั้น ประเทศที่ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประเทศชั้นนำของโลกโดยส่วนใหญ่ก็มักจะมุ่งไปสู่เศรษฐกิจบริการประเภทที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ขั้นสูง เทคโนโลยีดิจิทัล และอินเทอร์เน็ต หรือภาคการเงินการธนาคาร ซึ่งตนมีต้นทุนสูง
สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจภาคบริการในประเทศไทย เราคงไม่ปฏิเสธแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจ 4.0 ของรัฐบาล เพราะอย่างไรการสร้างนวัตกรรมเพื่อพึ่งพาตนเองให้ได้ทางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของชาติ อย่างไรก็ดี ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า ในเมื่อจำเป็นต้องเลือก “กลุ่มเป้าหมาย” ในการพัฒนาเศรษฐกิจ 4.0 จึงควรจะให้น้ำหนักกับการพัฒนาในกลุ่มเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ไทยถนัดและมีต้นทุนสูง ซึ่งก็คือ เศรษฐกิจแบบหลั่นล้า หรือเศรษฐกิจที่ใช้ฐานทางวัฒนธรรมและสังคมของไทย โดยเฉพาะจิตใจ อัธยาศัย ไมตรี มือไม้ที่อ่อนช้อยและมีทักษะ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ การต้อนรับและบริการ อาหาร ฯลฯ มาสร้างมูลค่า เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สามารถใช้ประโยชน์จาก ประวัติศาสตร์ไทย เช่น หยิบเอาเรื่องแฝดอิน-จัน ที่โด่งดังมากในโลกตะวันตกในชื่อ Siamese twin หรือยามาดะ นางามาสะ ซามูไรญี่ปุ่นที่เข้ามาเป็นขุนนางอยุธยามาทำเป็นการท่องเที่ยวตามรอยบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สมุทรสาคร ซึ่งเป็นบ้านเกิดอิน-จัน หรืออยุธยาได้ อาหารไทย สูตรอาหารไทยโบราณนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้มาก หรือ ความศรัทธา เองก็นำมาเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจได้ เช่น ส่งเสริมการท่องเที่ยววัดวาอาราม หรือพระเครื่อง ซึ่งในวันนี้กลายเป็นธุรกิจใหญ่ที่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนนิยมมาก รวมไปถึงบริการทางจิตวิญญาณ ศาสนา ความสงบทางใจ ธรรมะ ให้แก่ชาวโลก
อีกทั้งเรายังจะนำ Disruptive Technology อันทันสมัยในยุค 4.0 มาเสริม สร้าง ปรับ ปรุง พัฒนา เศรษฐกิจหลั่นล้าแขนงอื่นๆ ได้ด้วย ดังข้อเสนอของ รศ.ดร.ณรงค์ เรื่องธุรกิจที่ทำได้ด้วยตัวคนเดียว (One Person Business) เพื่อมาเป็นทางเลือกสำหรับคนในยุค 4.0 ไม่ว่าผู้สูงอายุที่เกษียณจากงาน คนตกงานจากโรงงานหรือบริษัท หรือคนรุ่นใหม่ที่ชอบงานอิสระ ให้หันมาทำธุรกิจโดยใช้ประโยชน์จาก Disruptive Technology ต่างๆ ที่ทำให้ปัจจัยการผลิตหลายอย่างมีขนาดเล็กลง และผู้ผลิตสามารถส่งขาย หรือทำการตลาดได้เองโดยตรงกับลูกค้าทางออนไลน์ เช่น สกรีนเสื้อผ้า หรือเย็บปักถักร้อย สานหมวก ขายออนไลน์ ส่งทางไปรษณีย์ทั้งในและต่างประเทศ หรือทำเกษตรสมัยใหม่ที่มีมูลค่าสูงอย่างเกษตรบูทีค ดังปรากฎตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา มีความรู้ด้านเทคโนโลยี หันมาปลูกเมล่อนบนที่ดินของตน เพิ่มมูลค่าด้วยการส่งรูปทางไลน์ให้ลูกค้าเลือกว่าต้องการเมล่อนลูกใดตั้งแต่ลูกเมล่อนยังเล็ก และใช้โปรแกรมสลักชื่อคนที่ลูกค้าต้องการลงไปบนลูกเมล่อน ขายได้รายได้ดีจนออกจากงานประจำได้ เป็นต้น
อุตสาหกรรมการแพทย์และการดูแลรักษาพยาบาลครบวงจรเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้ประโยชน์จากทั้งเศรษฐกิจ 4.0 และเศรษฐกิจหลั่นล้าควบคู่กัน เพราะเป็นที่รู้กันว่าบริการรักษาพยาบาลของไทยมีคุณภาพดีในราคาถูกกว่าประเทศที่ก้าวหน้าของโลก โรงพยาบาลชั้นนำของไทยมีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่มีคุณภาพสูง และเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนไทยมีความนุ่มนวล อัธยาศัยที่ดีเลื่องลือในการดูแลผู้คน ทำให้ปัจจุบันมีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามารักษาตัวในประเทศไทยจำนวนมาก ในยุค 4.0 ไทยจึงมีศักยภาพที่จะพัฒนาประเทศให้เป็น medical hub ระดับภูมิภาคและโลกได้
อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ประธานบางกอกฟอรั่มและรศ.ดร.วรากรณ์ ยกตัวอย่าง อิตาลี ว่าเป็นประเทศหนึ่งที่น่าศึกษาสำหรับไทยในเรื่องการทำเศรษฐกิจบริการจากฐานวัฒนธรรม เพราะแม้จะมีระบบการเมืองประสิทธิภาพต่ำ เต็มไปด้วยการทุจริต ปัญหาสังคม ประสิทธิภาพการจัดการ จัดระบบต่างๆ ที่ย่ำแย่ ไม่โดดเด่นด้านนวัตกรรมชั้นสูงหรือมีระบบสังคมที่ดีอย่างประเทศยุโรปที่เราคุ้นชิน เช่นเยอรมันหรืออังกฤษ แต่อิตาลีก็ยังใช้ความสร้างสรรค์หลั่นล้าพาเศรษฐกิจมาได้จนใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหภาพยุโรปในปัจจุบัน นอกจากนี้ เกาหลีใต้ เป็นอีกประเทศที่น่าสนใจเพราะประสบความสำเร็จมากในการใช้ทุนวัฒนธรรมเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยธุรกิจบันเทิง ทั้งดนตรี ภาพยนตร์ และอื่นๆ นำมาสู่การยอมรับ คน วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ แฟชั่น หรือสินค้าจากเกาหลีใต้ไปทั่วโลก
ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานสถาบันคลังปัญญาฯ และอธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต สรุปว่า ในยุคที่เศรษฐกิจบริการเป็นปัจจุบันและอนาคตของโลก ไทยเราเองก็มุ่งสู่แนวทางนี้ได้ หากต้องตระหนักว่าจุดแข็งของเราคืออะไร และทำเศรษฐกิจบริการไปในทางที่ใช้ฐานสังคมและวัฒนธรรมของเราให้มากขึ้น และทำอย่างมียุทธศาสตร์ เศรษฐกิจบริการนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์ด้วยวิทยาศาสตร์ ไอที และเทคโนโลยีชั้นสูงเพียงอย่างเดียว แต่สร้างสรรค์ด้วยวัฒนธรรม อัธยาศัย และสันถวไมตรีก็ได้ หรือนำสองแนวทางนี้มาผสมผสานกันก็ได้ ที่ผ่านมาเมื่อโลกยังอยู่ในยุคอุตสาหกรรมเป็นใหญ่ ประเทศเราอาจจะไม่โดดเด่นนักในทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่มีฐานและต้องพยายามพัฒนามาก (กระนั้นก็โตมาได้จนเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 19 ของโลก วัดจากกำลังซื้อจริง จากการจัดอันดับของธนาคารโลกในปี 2016) แต่ในยุคที่กระแสเศรษฐกิจโลกหันมาสู่ภาคบริการ ซึ่งเป็นภาคที่เราถนัดและโดดเด่นอยู่แล้วในระดับโลก ประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะโดดเด่นได้มากยิ่งกว่าที่ผ่านมา สำคัญคือเราต้องทำให้เศรษฐกิจหลั่นล้าเติบโตไปในทางที่ดี มีคุณภาพและมูลค่าสูง รวมทั้งเรียนรู้จากทุกส่วนของโลกตะวันตกและตะวันออก ตัวอย่างของอิตาลีแสดงให้เห็นว่าตะวันตกไม่ได้มีเพียงแบบเดียว ตะวันออกก็เช่นกัน อยู่ที่จะเลือกสรรความรู้แบบใดมาใช้ให้เหมาะสมกับเรา