เปิดละเอียดคำชี้แจงคณะกรรมการสรรหา กสทช.โต้ สนช.
คณะกรรมการสรรหา กสทช.ทราบถึงความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้สมัครแต่ละคน รวมทั้งวิสัยทัศน์การนำความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นมาทำหน้าที่ กสทช.จากเอกสารหลักฐานที่ผู้สมัครได้ยื่นไว้ ส่วนการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครต่อหน้าคณะกรรมการสรรหาฯ เป็นการยืนยันตัวตนของผู้สมัครว่า เป็นบุคคลที่มีชื่อ-สกุล ตามใบสมัครจริง

กรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติไม่เลือกผู้เข้ารับการสรรหาเป็น กสทช.ทั้ง 14 คน เหตุคุณสมบัติไม่ผ่าน กระทั่งต่อมา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคําสั่งที่ 7/2561 เรื่อง การยกเลิกและระงับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาตินั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เปิดละเอียด คำชี้แจงของคณะกรรมการสรรหา กสทช.เกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้ง เป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
โดยที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการดำเนินการของคณะกรรมการสรรหากสทช.ในการคัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม และในคราวประชุมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติโดยเสียงข้างมาก 118 เสียง ว่า ไม่สมควรดำเนินการคัดเลือกกรรมการ กสทช. จากบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหา กสทช.ได้ส่งไป
คณะกรรมการสรรหา กสทช.ใคร่ขอชี้แจงเหตุผล ข้อจำกัด และสภาพปัญหาของกระบวนการพิจารณาคัดเลือกกรรมการกสทช.ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนี้
1.คณะกรรมการสรรหา กสทช.ดำเนินกระบวนการพิจารณาคัดเลือกกรรมการกสทช.ตามหลัเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560
การดำเนินกระบวนการพิจารณาคัดเลือกกรรมการกสทช.เป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ได้แก้ไขเพิ่มเติมและประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 ซึ่งมีหลักการและสาระสำคัญที่แตกต่างไปจากเดิมหลายประการ อาทิ
1.1.องค์ประกอบของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) จากเดิมที่กำหนดไว้ 11 คน ได้มีการแก้ไขใหม่ให้เหลือจำนวน 7 คน ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการกระจายเสียง ด้านกิจการโทรทัศน์ ด้านกิจการโทรคมนาคม ด้านวิศวกรรม ด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาตร์ และด้านการคุ้มครองผู้บริโภคหรือส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จำนวนด้านละ 1 คน (มาตรา 6) ทั้งนี้โดยให้คณะกรรมการสรรหากสทช.คัดเลือกในเบื้องต้นจากบรรดาผู้สมัครในด้านต่างๆ และเสนอบัญชีรายชื่ผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกสทช.ด้านละ 2 คน (เรียงลำดับคะแนน) เพื่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่วุฒิสภา คัดเลือกให้เหลือผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการกสทช.ด้านละ 1 คน เพื่อนำความกราบบังคมทูลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไ ป (มาตรา 15 วรรคสอง ประกอบมาตรา 17 วรรคแรก)
1.2 พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฉบับที่แก้ไขใหม่ได้แก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการได้มาของคณะกรรมการกสทช.หลายประการ ดังนี้
1.2.1 กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหากสทช.คณะหนึ่งจำนวน 7 คน ประกอบด้วย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาในศาลฏีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฏีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฏีกา ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด กรรมการป.ป.ช. ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่คัดเลือกผู้สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการ
1.2.2.แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาในการจัดให้มีการเสนอชื่อและแต่งตั้งกรรมการกสทช.ขึ้นใหม่ จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน เป็นไม่น้อยกว่า 150 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาในขั้นตอนการเลือกและแต่งตั้ง
1.3.มีการเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของกรรมการ กสทช.ตามมาตรา 7 ข.โดยเพิ่มเติม (14) ซึ่งบัญญัติว่า เคยเป็นผู้ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการ หรือผู้บริหารบริษัทมหาชนจำกัด เพราะเหตุมีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ที่ได้กล่าวข้างต้นนี้ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 และมีผลบังคับใช้ทันที โดยมิได้มีบทเฉพาะกาลใดๆ รองรับการยกเว้นไม่ใช้บทบัญญติข้อใดในการสรรหากรรมการกสทช.ที่จะต้องดำเนินการในครั้งนี้ จึงทำให้ผู้สมัครหลายรายตกเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 7
2.หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสรรหา กสทช.ใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 7 ข. (12) ที่กำหนดว่า "เป็นหรือเคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วน ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลอื่นใด บรรดาที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนได้รับการคัดเลือกตามมาตรา 15"
2.1 ในเบื้องต้น สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการในการสรรหากรรมการกสทช.ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการสรรหากสทช.ว่า มีคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขแดงที่ 670/2555 (ระหว่างนายสิทธิพร ปทุมเทวาภิบาล ผูู้ฟ้องคดีกับประธานคณะกรรมการสรรหากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม และพวก รวม 3 ราย ผู้ถูกฟ้องคดี) ลงวันที่ 18 เมษายน 2555 (คดีนี้มีการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2555 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 674/2555 และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด) ได้กำหนดให้พิจารณาว่า การที่จะถือว่าผู้สมัครมีลักษณะต้องห้าม เพราะเป็นกรรมการในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลใดที่ประกอบกิจการเกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคม วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์หรือไม่ ให้พิจารณาจากวัตถุประสงค์ของบริษัทตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ
คำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าวข้างต้น มีข้อความดังนี้
"เมื่อวัตถุประสงค์ของบริษัทระบุว่า บริษัทประกอบกิจการใด ก็ต้องถือว่า บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการตามที่ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของบริษัทแล้ว โดยมิต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงว่า บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการนั้นๆ แล้วหรือไม่ เพราะหากถือปฏิบัติเช่นนั้นแล้ว จะเป็นการสร้างภาระและความยุ่งยากให้แก่ผู้ที่จะทำการติดต่อค้าขายด้วย เพราะต้องไปตรวจสอบสภาพความเป็นจริงของบริาทก่อนทุกครั้ง ว่า ประกอบกิจการประเภทนั้นหรือไม่ และหากบริาทอ้างว่าไม่ได้ประกอบกิจการนั้นๆ ก็ยากแก่การพิสูจน์ตรวจสอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ระบบทะเบียนทางการค้าที่วางไว้ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล"
2.2.ต่อมาคณะกรรมการกสทช.ได้ตรวจสอบและค้นพบว่า มีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ที่แม้มิได้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีเดียวกับคดีของศาลปกครองกลางดังกล่าวข้างต้น แต่ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักในการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในประเด็นเดียวกันนั้น แตกต่างออกไป กล่าวคือในคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 114/2556 (ระหว่างนายวุฒิพร เดี่ยวพานิช ผู้ฟ้องคดี กับประธานวุฒิสภาและพวก ผู้ถูกฟ้องคดี) ศาลปกครองสูงสุดวางหลักไว้ว่า ในการเป็รบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์หรือกิจการโทรคมนาคมหรือไม่นั้น จะพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้อย่างเดียวไม่ได้ต้องพิจารณาถึงการประกอบการจริงด้วย
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 114/2556 ดังกล่าวข้างต้น มีข้อความดังนี้
"การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งไม่รับสมัครผู้ฟ้องคดีเข้ารับการดำเนินการคัดเลือกเป็นกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ฟ้องคดีเฉพาะวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นกรรมการตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของสำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์อย่างเดียวเท่านั้น น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย"
ดังนั้นในการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการกสทช.คณะกรรมการสรรหากสทช. จึงพิจารณาบทบัญญัติของมาตรา 7 ข.(12) ตามแนวทางของคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 114/2556
3.การพิจารณาในประเด็นเรื่องการเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนในบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนได้รับการคัดเลือก อันเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 7 ข. (12) นั้น คณะกรรมการสรรหากสทช.ได้ดำเนินการตรวจสอบดังนี้
โดยที่ข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนได้รับการคัดเลือก เป็นข้อมูลที่ผู้สมัครบางคนก็แจ้งไว้ในใบสมัคร ตลอดจนสำนักเลขาธิการวุฒิสภา รู้หรือควรรู้ได้ด้วยตนเอง คณะกรรมการสรรหากสทช.และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาท จึงต้องประสานงานขอข้อมูลดังกล่าวมาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยได้ดำเนินการขอข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้น ดังนี้
3.1 ประสานงานขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 หน่วยงานคือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
ปรากฎผลจากการขอข้อมูลจากหน่วยงานทั้งสองสรุปได้ว่า มีผู้สมัครหลายคนเป็น หรือเคยเป็นกรรมการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้น ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลอื่นใด บรรดที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนได้รับการคัดเลือก
อย่างไรก็ตาม โดยข้อมูลดังกล่าวข้างต้น เป็นข้อมูลที่คณะกรรมการสรรหากสทช.ได้มาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การที่จะใช้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการออกคำสั่งว่าผู้สมัครคนใดขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 7 ข.(12) คณะกรรมการสรรหากสทช.จะต้องให้โอกาสผู้สมัครคนนั้นได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ด้วย คณะกรรมการสรรหากสทช.จึงไม่อาจตัดผู้สมัครคนใดโดยเพียงอาศัยข้อมูลที่ได้มาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น
3.2 เพื่อให้ผู้สมัครได้โต้แย้งและมีโอกาสแสดงพยานหลักฐานของตน คณะกรรมการสรรหาฯ ได้มอบหมายให้นายวิษณุ วรัญญู กรรมการสรรหา เลขานุการและโฆษกคณะกรรมการสรรหา กสทช. ทำหน้าที่ซักถามผู้สมัครเพิ่มเติม เกี่ยวกับประเด็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งได้กระทำในคราวที่เชิญให้ผู้สมัครมาแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าคณะกรรมการสรรหา กสทช. โดยได้หยิบยกข้อมูลที่คณะกรรมการสรรหา กสทช.ได้มา เพื่อให้ผู้สมัครได้โต้แย้งหรือชี้แจงเพิ่มเติม
3.3. เพื่อให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้นว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลใดๆที่ผู้สมัครบางคนเป็นกรรมการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้นนั้น เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลที่ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม หรือไม่ คณะกรรมการสรรหาฯ มีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานกสทช.เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า องค์กรหล่านั้นได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมจาก กสทช.หรืออยู่ในการกำกับดูแลหรือต้องได้รับการอนุญาตใดๆ จากกสทช.หรือไม่
ผลจากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้สมัครหลายรายไม่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 7 ข (12) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2560 ส่วนผู้สมัครบางรายที่เป็นกรรมการ หรือถือหุ้นในบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโทรคมนาคมกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ และผ่านการตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม เข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาคัดเลือก เนื่องจากบริษัทหรือองค์กรเหล่านั้น มิได้ประกอบกิจการโทรคมนาคมหรือกิจการกระจายเสียง หรือกิจการโทรทัศน์ตามที่ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการพิจารณาที่สอดคล้องกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 114/2556 (ระหว่างนายวุฒิพร เดี่ยวพานิช ผู้ฟ้องคดี กับประธานวุฒิสภาและพวก ผู้ถูกฟ้องคดี)
4.คำชี้แจงของคณะกรรมการสรรหากสทช.เกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
4.1 กรณีที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ปรากฎตามสื่อมวลชน ว่า คณะกรรมการกสทช.กำหนดให้ผู้สมัครแสดงวิสัยทัศน์เพียงคนไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น อันเป็นเวลาที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับภารกิจและหน้าที่ของกรรมการกสทช. ที่ต้องดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัสน์ และกิจการโทรคมนาคมของประเทศ
คณะกรรมการสรรหากสทช.ขอเรียนชี้แจงดังนี้
คณะกรรมการสรรหา กสทช.มิได้คัดเลือกผู้สมัครโดยพิจารณาจากการแสดงวิสัยทัศน์ในระยะเวลา 5 นาทีดังกล่าวเป็นสำคัญแต่อย่างใดเลย ตามระเบียบคณะกรรมการสรรหากรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัสน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีคัดเลือกผู้สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ.2560 ข้อ 6 (3) กำหนดให้ผู้สมัครแสดงประสบการณ์ในด้านที่สมัคร โดยแนบเอกสารและหลักฐานที่แสดงความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์และผลงานที่ยังประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.ด้านที่สมัครในวันที่ตนยื่นใบสมัคร และข้อ 6 (5) ยังกำหนดให้ผู้สมัครแนบเอกสารแสดงวิสัยทัศน์ที่แสดงถึงการนำความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของตนเพื่อนำมากำหนดทิศทางหรือเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อีกด้วย
ดังนั้น คณะกรรมการสรรหา กสทช.จึงทราบถึงความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้สมัครแต่ละคน รวมทั้งวิสัยทัศน์การนำความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นมาทำหน้าที่ กสทช.จากเอกสารหลักฐานที่ผู้สมัครได้ยื่นไว้ ส่วนการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครต่อหน้าคณะกรรมการสรรหาฯ เป็นการยืนยันตัวตนของผู้สมัครว่า เป็นบุคคลที่มีชื่อ-สกุล ตามใบสมัครจริง
นอกจากนี้ หลักจากการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครแต่ละรายเสร็จสิ้นลง คณะกรรมการสรรหาฯ ยังได้ซักถามผู้สมัครเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในส่วนที่หน่วยงานต่างๆ ตอบกลับมา เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครประกอบการพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่นๆ และเพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปด้วยความรอบคอบตามแนวทางตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
4.2 กรณีที่ปรากฎตามสื่อมวลชนว่า คณะกรรมการสรรหา กสทช.ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครไม่ละเอียดรอบคอบ เป็นเหตุให้ผู้สมัครในแต่ละด้านมีไม่ครบเป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนกรรมการที่จะพึงมีในแต่ละด้าน ส่งผลให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่สามารถพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อเป็นกสทช.ได้นั้น
คณะกรรมการสรรหากสทช.ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
คณะกรรมการสรรหากสทช.ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครอย่างเคร่งครัด ตามมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 โดยส่งข้อมูลไปตรวจสอบยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น กรณีเคยต้องคำพิพากษาก็ต้องเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดใด เว้นแต่เป็นความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
ส่วนกรณีผู้สมัครที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งกรณีดังกล่าวเมื่อพิจารณาจากมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ จะเห็นได้ว่า การตรวจสอบพฤติกรรมทางด้านคุณธรรมและจริยธรรมนั้น มิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา กสทช.แต่อย่างใด หากคณะกรรมการสรรหากสทช.ตัดสิทธิผู้สมัครบางรายด้วยเหตุผลว่า ผู้สมัครรายนั้นมีปัญหาทางคุณธรรมและจริยธรรม ย่อมเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหากสทช.
