“24 มิถุนายน” : วันชาติไทย-เปลี่ยนจากสยามเป็นไทย-เปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
“แผ่นดินสยาม นามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเข้าครองตั้ง ประเทศเขตแดนสง่า สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณมา ด้วยรักษาสามัคคีทวีไทย…” เพลงชาติสยามนี้ได้หายไปพร้อมกับการเปลี่ยนชื่อประเทศ
นับแต่ 24 มิถุนายน 2482 เพลงชาติสยามข้างต้นก็ที่ใช้มาตั้งแต่ 20 ส.ค..2477 ได้เงียบหายไป ด้วยพลตรีหลวงพิบูลสงคราม (ยศและบรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศ”สยาม”เป็นประเทศ “ไทย” หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 6 เดือน ด้วยวัย 42 ปี วันเดียวกันนี้ก็ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์แรกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ภาคประชาชน และการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นได้กลายเป็นรากฐานการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
พลตรีหลวงพิบูลสงครามประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ และเป็นวันหยุดราชการ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง มีการตั้งชื่อสะพานที่สร้างข้ามคลองบางลำพูว่าสะพานว่า “สะพานเฉลิมวันชาติ” มีการเปลี่ยนชื่อทุกอย่างที่มีคำว่าสยาม เช่น พระสยามเทวาธิราช เปลี่ยนเป็นพระไทยเทวาธิราช สยามสมาคมเป็นไทยสมาคม ต่อมาก็ห้ามใช้คำว่าสยาม ธนาคารที่มีคำว่าสยามก็เปลี่ยนมาเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ หนังสือพิมพ์สยามนิกร ก็ใช้เพียงชื่อนิกร หนังสือพิมพ์สยามราษ์ฎร์ก็เปลี่ยนเป็นไทยราษฏร์ ฯลฯ
สยาม – ไทย ดินแดนและชนชาติ
นักวิชาการหลายท่านมีความเห็นตรงกันว่าดินแดนแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า สยาม, เสียม, สาม,มาไม่ต่ำกว่าพันปื คนไทยลาวออกเสียงเรียกว่า ซำ หมายถึงแหล่งน้ำ เขมรออกเสียงเป็น เสียม มอญออกเสียงเป็น เซม จีนเดิมเรียกว่า เสียน สมัยราชวงค์หมิงเอาคำว่าเสียนบวกคำว่าละโว ก็กลายเป็นเสียมโล้ หรือเสียมล้อ
กลุ่มคนไทยได้เคลื่อนตัวเข้ามาในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทยราวพุทธศตวรรษที่ 19 และยังมีคนไทยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะเขตภาคใต้ของจีนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุดประวัติศาสตร์ดินแดนอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวร มีการเคลื่อนย้ายตลอด ภูมิภาคนี้ในหลายประเทศมีการปะปนของกลุ่มชนชาติพันธุ์สูง บางประเทศมีสูงถึงกว่า 100 ชนเผ่า และในดินแดนที่เรียกว่าประเทศไทยมีอย่างน้อย 57 ชนเผ่า แต่กลุ่มคนไทยได้แผ่ขยายอิทธิพลสถาปนาความเป็นใหญ่เหนือชนกลุ่มอื่น แต่ดินแดนนี้ไม่ได้ถูกเรียกว่าประเทศไทย แต่ถูกเรียกและเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปว่า “สยาม” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ก็ทรงเป็นพระเจ้ากรุงสยาม สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ใช้คำว่าสยามมินทร์ คือสยามบวกอินทรา หมายถึงผู้เป็นใหญ่แห่งสยาม ในดินแดนสยามนี้จึงหมายรวมถึงดินแดนที่รวมของกลุ่มชนชาติพันธุ์ต่างๆ
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกปี 2482 เรื่องเปลี่ยนชื่อสยามเป็นไทยนี้ นาวาเอกหลวงธำรง นาวาสวัสดิ์ ได้คัดค้านอย่างหนักและหยิบยกปัญหาของรัฐปัตตานีขึ้นมาอภิปรายว่าการเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นประเทศไทยนั้นจะสร้างความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างกลุ่มคนไทยกับกลุ่มชนอื่นๆอย่างชัดเจน
ทำไมต้องเป็นไทย
เพราะกลุ่มคนไทยกระจัดกระจายทั่วไปในหลายประเทศ เบื้องหลังความคิดของหลวงพิบูลสงคราม ภายใต้บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 คือชาตินิยมและอำนาจนิยมเชื่อมโยงกับลัทธินาซีฟาสซิมม์
แม้แต่ชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษคือ Thailand ใส่คำว่าแลนด์ เช่นเดียวกับที่ฮิตเลอร์เรียกประเทศตนว่า Deutschland หลวงพิบูลสงครามมีความคิดเชื้อชาติอำนาจนิยม ต้องการแผ่ขยายประเทศรวมรวบไทยให้เป็นปึกแผ่น โดยมีหลวงวิจิตรวาทการอธิบดีกรมศิลปากรและเป็นรัฐมนตรีลอยได้ให้ข้อมูลและสนับสนุนความคิด โดยได้นำแผนที่อินโดจีนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และกล่าวถึงมหาอาณาจักรไทยที่จะรวบรวมชนชาติไทยในประเทศต่างๆเข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่ฮิตเล่อร์ได้กระทำอยู่ในยุโรปในการรวบรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆให้เข้าอยู่ในมหาอนาจักรเยอรมัน
ข้อมูลจากหนังสือความเป็นมาของชื่อประเทศสยามกับประเทศไทย โดยปรีดี พยมยงค์ (เรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส) ได้กล่าวว่าหลวงวิจิตรวาทการอ้างว่าคำว่า “สยาม” มาจากภาษาสันสกฤต “ศยามะ” แปลว่า “ดำ” จึงไม่ควรเป็นชื่อประเทศชนเชื้อชาติไทยซึ่งเป็นคนผิวเหลือง และอ้างคำว่าสยามแผลงมาจากจีนคือ “เสียมล้อ” นายปรีดี พนมยงค์ที่ร่วมประชุม ค.ร.ม.ครั้งนั้นได้คัดค้านโดยอ้างถึงกฏหมายตราสามดวงสมัยรัชการที่ 1 ว่าสยามมาจากภาษาบาลีมาจากคำว่า “สาม”มีความหมายหลายอย่าง ตั้งแต่สีดำสีหลืองไปจนถึงสีทอง จึงหมายถึงแว่นแคว้นเมืองทองหรือสุวรรณภูมิ เช่นเดียวกับคำร้องในเพลงชาติสยามว่า “ประเทศสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง”
นายปรีดี เป็นเสียงข้างน้อย ก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นไทยได้ แต่ประนีประนอมในส่วนที่เป็นภาษาต่างประเทศนั้นให้คงเดิมคือ Siam ทั้งนี้โดยเหตุผลทำนองเดียวกับคนเยอรมันที่สะกดชื่อประเทศของตนว่า Deutschland แล้วปล่อยให้คนอังกฤษสะกดว่า Germany คนฝรั่งเศสสะกดว่า Aiiemagne เช่นเดียวกับคำว่า China หรือ Chine กับ Japan กับ Japon
นายปรีดี ยังเห็นว่าการที่เอาคำว่า Land มาต่อท้าย ทำให้คล้ายกันกับประเทศเมืองขึ้นในอาฟริกาของอังกฤษ(สมัยนั้น)ที่ลงท้ายด้วยคำว่า Land หรือ Lane ดังนั้นถ้าจะใช้คำว่าไทย ก็เขียนว่า Thai เช่นเดียวกับ Eire ข้อเสนอนี้ก็ถูกตีตก จนสุดท้ายเสนอให้ใช้ทับศัพท์ว่า Muang Thai ก็ไม่ได้รับการยอมรับเช่นกัน
ด้วยความคิดในเชิงอำนาจนิยม กองทัพไทยก็เข้ายึดครองเสียมราบ (เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดพิบูลสงคราม) พระตะบอง,จัมปาสัก และไชยบุรี(เปลี่ยนชื่อเป็นล้านช้าง) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ขยายครอบคลุมเอเซีย ประเทศไทยประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร กองทัพไทยยึดดินแดนของอังกฤษในรัฐฉาน(เชียงตุงและเมืองพาน เปลี่ยนชื่อเป็น”สหรัถไทยเดิม) กับอีก 4 รัฐมลายู (เคห์ดา ปะลิส กลันตัน และตรังกานู)เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “4 รัถมาลัย)
มองไทยไปให้ถึงดาว
โดยหลักโหราศาสตร์นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสัมพันธ์กับดวงดาวบอกความเป็นตัวตนทั้งสิ้น ชื่อประเทศ ”สยาม”โดยหลักโหราศาสตร์นามศาสตร์จะสัมพันธ์กับดาวจันทร์ ซึ่งส่งผลต่อประเทศสยามเป็นประเทศที่บริสุทธิ์(ต้นธาตุน้ำ-น้ำที่ไม่มีอะไรเจือปน) นุ่มนวลมีศิลปะมีผืนน้ำที่ชุ่มฉ่ำ มีจิตใจที่พร้อมจะประสานดูดซับและกลมกลืนไม่สร้างความแตกแยก ส่วนชื่อประเทศ “ไทย” จะสัมพันธ์กับดาวเสาร์ แข็งแกร่งบริสุทธิ์ดุจหิน(ต้นธาตุดิน) ซึ่งตรงกันข้ามกับดาวจันทร์ในชื่อของสยาม อีกทั้งในดวงเมืองดาวจันทร์ยังอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเกษตรคือยิ่งใหญ่เป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่ชื่อไทยซึ่งเป็นดาวเสาร์ ดาวเสาร์ในดวงเมืองนำตัวเองไปสู่ภพวินาศ ทั้งนี้กล่าวโดยตำแหน่งดาวที่เป็นตัวตน ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งดวงดาวได้บอกไว้อย่างละเอียดครบถ้วน
เปลี่ยน”ไทย”เป็น”สยาม”
ในอดีตที่ผ่านมามีความคิดที่จะเปลี่ยนจากไทยกลับไปใช้สยามดังเดิม หลังจากที่พลตรีหลวงพิบูลสงครามหมดอำนาจแล้วอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่นในคราวร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 ที่ประชุมได้ลงมติ ฝ่ายที่เห็นด้วยว่าควรใช้ชื่อสยามแพ้อย่างฉียดฉิว 14 ต่อ 18 เสียง ในคราวร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2511 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองอำนาจ ฝ่ายที่เห็นด้วยว่าควรใช้ชื่อสยามแพ้ 5 ต่อ 134 เสียง และในคราวร่างรัฐธรรมนูญปี 2517 ซึ่งเป็นช่วงบรรยากาศแห่งอำนาจนิยมและทหารตกต่ำ แต่น่าแปลกใจที่เรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศกลับสู่สยามกลับไม่ได้รับความสนใจ มีเพียงอภิปรายกัน 2-3 ท่านเท่านั้น
และเราก็ต้องร้องเพลงเชาติ (ที่ใช้แรงบันดาลใจจากเพลงชาติฝรังเศส La Maseilles) “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ทั้งที่เราก็อาจเป็นเชื้อชาติจีน เชื้อชาติมอญ หรือเชื้อชาติแขก ฯลฯ .