‘นักวิจัย’ ติงบัญชีรับจ่ายคู่สัญญารัฐไร้มาตรฐานไม่สะท้อนรายจ่ายจริง
‘รศ.ดร.สังศิต’ ชี้ผลกระทบขององค์กรธุรกิจจากการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. ระบุการบังคับใช้ม.103/7-103/8 มีความไม่พร้อมขององค์กรกำกับ ระบบ บช.1 ขาดมาตรฐาน-ความน่าเชื่อถือ นักการเมืองสมคบข้าราชการ-นักธุรกิจโกงผลประโยชน์ของส่วนรวม
เร็ว ๆ นี้ รศ. ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ดร.ฉัตรวรัญ องคสิงห์ และดร.รัตพงษ์ สอนสุภาพ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง ‘ผลกระทบขององค์กรธุรกิจจากการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของ ป.ป.ช. มาตรา 103/7’ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์และผลของการศึกษา คือ เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่บุคคลหรือนิติบุคคลเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยกำหนดให้บุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐต้องแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ (บช.1) ต่อกรมสรรพากร และ ป.ป.ช. ที่มีมูลค่าสัญญาตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2555 - 31 ธันวาคม 2557 และตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 รวมถึงผลกระทบด้านบวกและด้านลบของมาตรา 103/7 ที่มีต่อบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ
รศ.ดร.สังศิต ระบุถึงผลการศึกษาพบว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกฎหมายมาตรานี้ส่วนใหญ่คือ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และนักธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ไม่ใคร่เห็นด้วยกับมาตรานี้ อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อม รวมทั้งมองว่ากฎหมายมาตรานี้จะทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางถูกขับไล่ออกจากตลาดไป เพราะกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่า
นอกจากนี้คณะวิจัยยังศึกษาว่ากิจการงานประเภทใดที่ควรอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายตามประกาศของ ป.ป.ช.
ผลการศึกษาพบว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่วนใหญ่เห็นว่าระยะเริ่มต้นควรให้ความสำคัญกับสัญญาที่มีมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นควรเข้มงวดกับโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป
สำหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า 2 ล้านบาท มีระบบการตรวจสอบจากส่วนกลาง และการตรวจสอบภายในอยู่แล้ว และควรมีการประเมินหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ทุก ๆ 5 ปี และเพื่อเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติงานต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องให้สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ผู้วิจัยเสนอแนะให้สร้างความพร้อมด้านบุคลากรทั้งของ ป.ป.ช. กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ฯลฯ และควรปรับปรุงระบบ บช.1 ให้มีมาตรฐาน ได้รับการรับรองตามหลักบัญชีสากล สามารถสะท้อนรายจ่ายได้จริง และเป็นระบบที่ง่ายจนไม่กลายเป็นภาระของผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ควรมีการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ภาคธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ตลอดจนปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการกำหนดวงเงินขั้นต่ำของธุรกรรมตามมาตรา 103/7
รศ.ดร.สังศิต ระบุถึงผลการศึกษาต่อว่า การบังคับใช้มาตรา 103/7 และมาตรา 103/8 ยังมีปัญหาความไม่พร้อมของหน่วยงานภาครัฐทั้งที่ทำหน้าที่กำกับ ดูแล และทำหน้าที่ปฏิบัติด้วย หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับและดูแลยังมิได้สร้างความรู้และความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างเพียงพอ ทั้งในเรื่องของการอบรม และการทำคู่มือประกอบการทำงานสำหรับทั้งสองมาตราของกฎหมายฉบับนี้
“ปัญหาของระบบ บช.1 คือ ไม่สามารถสะท้อนรายจ่ายที่แท้จริงของผู้ประกอบการได้ เป็นระบบที่ไม่มีมาตรฐานรองรับ ไม่มีผู้ตรวจสอบและไม่มีผู้รับรอง ดังนั้นระบบ บช.1 จึงเป็นระบบที่นอกจากสร้างภาระให้แก่ ป.ป.ช. และนักธุรกิจแล้ว ยังเป็นระบบที่ไม่น่าเชื่อถืออีกด้วย” นักวิจัย กล่าว และว่ายิ่งไปกว่านั้นมาตรา 103/7 และมาตรา 103/8 ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ในระยะยาวธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจขนาดเล็กที่เคยเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายอาจถูกบังคับโดยกลไกตลาดให้กลายเป็นธุรกิจที่กฎหมายไม่ให้การรับรอง เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้
รศ.ดร.สังศิต กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่าสนใจคือประเทศต่าง ๆ ในโลกมีปัญหาร่วมกัน คือ กลุ่มนักการเมืองและพรรคการเมืองกลายเป็นกลุ่มที่คอร์รัปชั่นมากที่สุดในโลกเหมือนกัน ประเทศที่มีความเจริญน้อย นักการเมืองและพรรคการเมืองสามารถจะคอร์รัปชั่นได้มาก ส่วนประเทศที่มีความเจริญมาก นักการเมืองและพรรคการเมืองก็จะคอร์รัปชั่นได้น้อยลง
นอกจากนี้บุคลากรในวงการตำรวจและกระบวนการยุติธรรมเป็นกลุ่มที่สามารถคอร์รัปชั่นได้มากเหมือนกันทั่วโลก ดังนั้นหากสังคมใดต้องการที่จะลดขนาดของการคอร์รัปชั่นลง ความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปทางการเมือง เพื่อควบคุมการใช้อำนาจทางการเมืองโดยมิชอบของนักการเมืองและพรรคการเมือง ที่เรียกว่า การคอร์รัปชั่นทางการเมืองก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะนักการเมืองไม่เพียงแต่จะโกงเรื่องการใช้อำนาจทางการเมืองไปเพื่อตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น
แต่พวกเขายังสามารถใช้อำนาจทางการเมืองไปโกงการแต่งตั้งและโยกย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เรียกว่า การคอร์รัปชั่นในการบริหารราชการอีกด้วย รวมทั้งการใช้อำนาจทางการเมืองไปสมคบกับข้าราชการประจำและนักธุรกิจไปคดโกงผลประโยชน์ของส่วนรวมมาเป็นของตัวเองและพวกพ้องได้ ที่เรียกว่าการคอร์รัปชั่นทางด้านเศรษฐกิจ .