ก.ต.มีมติลดเกษียณอายุผู้พิพากษาเหลือ 65 ปี-พ.อาวุโส70 เหมือนเดิม
ก.ต.มีมติแก้ไข กฎหมายหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโส ลดอายุเกษียณจาก 70 ปี เหลือ 65 ปี เพราะรับภาระหนักเกินไป แต่ยังเป็นผู้พิพากษาอาวุโสต่อได้ เร่งมีผลบังคับใช้ทัน 1 ตุลาคม 2558
แหล่งข่าวจากศาลยุติธรรมเปิดเผย"สำนักข่าวข่าวอิศรา www.isranews.org" ว่า ในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(ก.ต.)เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2551 ที่เดิมกำหนดให้ข้าราชการตุลาการในศาลยุติธรรมเกษียณอายุราชการจากตำแหน่ง เมื่ออายุครบ 70 ปี ให้เหลือ 65 ปี ซึ่งหลังจากอายุครบ 65 ปีแล้ว ยังจะสามารถดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสได้จนถึงอายุครบ 70 ปีให้พ้นจากราชการ แต่ในช่วงระยะเวลาเงกล่าวไม่สามารถดำรงตำแหน่งบริหารในศาลได้
แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากนี้ศาลยุติธรรมจะส่งร่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสไปให้คณะรัฐมนตรีเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ต่อไป คาดว่าจะทำให้เริ่มนับระยะเวลาการเกษียณอายุราชการแบบใหม่ทันในวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ทั้งนี้นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกาคนปัจจุบันจะเกษียณอายุในเดือนกันยายน 2558 เมื่ออายุครบ 64 ปี
แหล่งข่าวกล่าวว่า แต่เดิมนั้นนับแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 บังคับใช้ มีการตราพ.ร.บ. หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสกำหนด ข้าราชการตุลาการหรือผู้พิพากษา เกษียณราชการเมื่ออายุครบ 60 ปี แต่สามารถดำรงำตแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสต่อได้จนอายุครบ 70 ปี แต่ไม่สามารถดำรงบตำแหน่งบริหารได้ จนกระทั่งมีรัฐธรรมนูญ ปี 2550 จึงกมีการตรา พ.ร.บ. หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส(ฉบับที่ 3) ขยายเวลาเกษียณอายุราชการของผู้พิพากษาออกไปเป็น 70 ปี แบบขั้นบันได้ซึ่งจะทำให้ข้าราชการตุลาการสามารถดำรงตำแหน่งบริหารได้จนถึงอายุ 70 ปีโดย มีรายละเอียดดังนี้
มาตรา7 ในระยะสิบปีแรกนับแต่ปีงบประมาณที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ข้าราชการตุลาการซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาอาวุโสพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2551ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบเอ็ดปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2552
(2) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2552ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบสองปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2554
(3) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2553ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบสามปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ2556
(4) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ2554 ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบสี่ปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2558
(5) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2555 ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ2560
(6) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2556 ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบหกปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2562
(7) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2557ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบเจ็ดปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ2564
(8) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2558 ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบแปดปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2566
(9) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2559 ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบหกสิบเก้าปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2568
(10) ข้าราชการตุลาการซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ2560 ให้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เมื่ออายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2570
แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ตามหลังจากที่กฎหมายฉบับบังคับใช้มาได้ระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่า การให้ข้าราชการตุลาการดำรงตำแหน่งบริหารได้ถึงอายุ 70 ปีนั้น เป็นภาระที่หนักเกินไป จึงลดอายุเหลือ 65 ปี