ศาลอาญาตัดสินจำคุก 103 ปี ‘โจฮันเนส’ มาเฟียชาวดัตช์ คดีฟอกเงิน
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก'โจฮันเนส เปทรัส มาเรีย (โยฮัน) ฟาน ลาร์โฮเวน' 103 ปีกับภรรยา 18 ปี ฐานฟอกเงิน เเต่ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 เวลา 9.30 น. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีอาญา คดีระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 3 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นายโจฮันเนส เปทรัส มาเรีย (โยฮัน) ฟาน ลาร์โฮเวน อายุ 54 ปี สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ผู้ต้องหาที่ 1 และนางสาวมิ่งขวัญ ฟาน ลาร์โฮเวน หรือแก่นอินทร์ สัญชาติไทย ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงิน
โดยศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมตามฟ้อง พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 103 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 68 ปี 8 เดือน แม้จำเลยที่ 1 จะให้การปฏิเสธ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา คงให้จำคุกสูงสุด 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุกเป็นเวลา 18 ปี แม้จำเลยที่ 2 จะให้การปฏิเสธ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงให้จำคุก 12 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
คดีนี้สืบเนื่องเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 เจ้าหน้าที่ตำรวจเนเธอร์แลนด์ประจำสถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดขอให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง เนื่องจากมีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีการกระทำความผิดฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 ในประเทศไทย
อัยการสูงสุดพิจารณาเห็นว่าการกระทำความผิดตามคำร้องทุกข์ดังกล่าว เป็นความผิดตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร ที่อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งมอบหมายให้นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และพนักงานอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนในคดีนี้ฝ่ายเดียว
พนักงานอัยการผู้ได้รับมอบหมายเป็นพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน และได้ขออนุมัติออกหมายจับต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 และศาลอนุมัติให้จับกุมนายโจฮันเนส เปทรัส มาเรีย (โยฮัน)ฟาร์ ลาร์โฮเฟิน ตามหมายจับที่ 1233/2557, นายฟรานซิส โจเซฟ คอร์เนียล มาเรีย ฟาร์ ลาร์โฮเวน ตามหมายจับที่ 1234/2557 และนางมิ่งขวัญ ฟาน ลาร์โฮเวน หรือแก่นอินทร์ ตามหมายจับที่ 1235/2557
ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 พนักงานอัยการในฐานะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้ประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองกำกับการสุนัขตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม นำหมายค้นของศาลจังหวัดพัทยาเข้าทำการตรวจค้นที่บ้านเลขที่113/1 หมู่ 10 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 พักอาศัยและได้จับกุมบุคคลทั้งสองตามหมายจับและทำการตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมาจำนวนหนึ่ง
จากการสอบสวนในคดีนี้เป็นคดีที่มีการกระทำผิดที่เกี่ยวกับการค้ากัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเนเธอร์แลนด์ได้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีนี้มาได้ประมาณ 6 ปีแล้ว และได้กระทำผิดฟอกเงิน โดยโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ากัญชาไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ลักเซมเบิร์ก อังกฤษ หมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ไซปรัส ปานามา เยอรมัน สเปน สิงคโปร์ และประเทศไทย และนำเงินดังกล่าวไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ ในประเทศไทย
พนักงานอัยการผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนความผิดในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3, 5, 6, 25, 32 เนื่องจากพยานหลักฐานส่วนมากอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์และทางพนักงานอัยการเนเธอร์แลนด์มีความต้องการที่จะดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าวในประเทศเนเธอร์แลนด์ พนักงานอัยการจึงได้ยื่นฟ้องเฉพาะความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 ตามคดีหมายเลขดำที่ 3423/2557 จนศาลอาญามีคำพิพากษาดังกล่าวในวันนี้
คดีนี้ถือว่าเป็นคดีแรกที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด รับมอบหมายให้ดำเนินการในฐานะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และอัยการสูงสุดได้รับคำร้องทุกข์พร้อมกับมอบหมายให้พนักงานอัยการเป็นพนักงานสอบสวนดำเนินคดีฝ่ายเดียว ตั้งแต่ชั้นสืบสวน สอบสวน จับกุม ยึดทรัพย์ และสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 ทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรข้ามชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงิน ซึ่งนับว่าเป็นนโยบายอันสำคัญของรัฐบาลในการให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่นับวันจะเป็นภัยร้ายต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก
ภาพประกอบ:เว็บไซต์สปริงนิวส์