สศค. หนุนเดินหน้าร่างกม.ภาษีสิ่งแวดล้อม เร่งระดมความเห็นเพิ่มเติม
เวทีระดมความเห็นปรับปรุงร่างกม.ภาษีสิ่งแวดล้อม ย้ำต้องเพิ่มรายละเอียดให้ชัด กำหนดเพดานการเก็บ นักวิชาการย้ำเป็นกม.ที่มีประโยชน์ ช่วยลดการพึ่งพิงภาษีเก่า หวั่นรบ.ปู ไม่เคาะผ่าน
วันที่ 19 ธันวาคม สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) จัดเวทีอภิปราย เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม” ภายใต้โครงการวิจัย “การปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน” ณ ห้องประชุมนิคม จันทรวิทุร ชั้น 7 ตึกอเนกประสงค์ มธ. ท่าพระจันทร์ เพื่อระดมความคิดเห็นในการปรับปรุงร่างฯ โดยมีดร.ชโลทร แก่นสันติสุขมงคล อาจารย์คระเศรษฐศาสตร์ มธ. นำเสนอ “บทวิเคราะห์ร่างพระบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …”
ดร.ชโลทร กล่าวว่า โดยหลักการมีแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในภาวะเหมาะสมได้ ซึ่ง ร่างพ.ร.บ.มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ ได้ผ่านการพิจารณาจาก ครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้วในสมัยรัฐบาลที่แล้ว และตีกลับมาให้ปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียด โดยที่จุดที่น่าพิจารณา คือ นิยามของ “มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม” ที่ยังขาดความชัดเจน แม้จะไม่เป็นปัญหาต่อการใช้ แต่ก็มีความลักลั่นทางภาษา
“ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ตอบโจทย์ได้เกือบครบทุกประเด็น แต่ที่ยังขาดไป คือ อุบัติภัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีเรือน้ำตาลล่ม ส่วนประเด็นอื่นๆ สามารถใช้กลไกบิดให้สอดรับกับกฎหมายได้ เช่น ปัญหาก๊าซเรือนกระจก ก็สามารถอยู่ในกฎหมายฉบับนี้ได้”
จากนั้นมีเวทีเสวนาในหัวข้อ “ร่าง พ.ร.บ.มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. …” โดยมี ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ผู้อำนวยการ นสธ. รศ.ดร.สุเมธ ศิริคุณโชค คณะนิติศาสตร์ มธ. และนางวราทิพย์ อากาหยี่ ผอ.ส่วนนโยบายภาษีศุลกากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ร่วมเสวนา
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า สำหรับอนาคตของร่าง พ.ร.บ.มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ ฉบับนี้ แม้จะมีโอกาสเดินหน้าต่อได้ยากหรือล่าช้าขึ้นในภาวะบ้านเมืองประสบปัญหาอุทกภัยและเปลี่ยนรัฐบาล ไม่อาจมั่นใจได้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะรับร่างกฎหมายให้ผ่านหรือไม่ แต่หน้าที่ของนักวิชาการก็ต้องทำการศึกษาและจัดทำร่าง พ.ร.บ.ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในด้านต่างๆ ให้พร้อมไว้ เพราะเชื่อว่าเรื่องภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและทั่วโลกเดินหน้าเรื่องนี้อยู่
ขณะที่รศ.ดร.สุเมธ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ในภาพรวมนับว่าเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าและทันสมัย เพราะเป็นกฎหมายที่ไม่ได้เน้นกระแสหารายได้หรือหาเงินเข้ารัฐ แต่เน้นเรื่องคุณภาพชีวิต อันเป็นข้อเรียกร้องสำคัญในกระแสปัจจุบัน และจะสามารถช่วยลดการพึ่งพิงภาษีเก่าๆ ตัวอื่นได้ด้วย เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้ 2 ทาง คือ ทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้นและทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น
“เชื่อว่าในอนาคตทุกประเทศต้องมีกฎหมายในลักษณะนี้ แต่ขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้กว้างขึ้นกว่าที่เคยมี ครอบคลุมในหลายประเด็นปัญหาจนเหมือนเป็นเช็คเปล่าที่ไม่ลงจำนวนเงิน นับว่าอันตรายต่อผู้ที่เสียภาษี ดังนั้น แม้ในหลักการจะเห็นด้วยว่าเป็นกฎหมายที่ดีและเป็นประโยชน์ และอาจมีความเป็นสากลหรือระหว่างประเทศได้ก่อนภาษีตัวอื่น แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีกมาก ไม่อย่างนั้นกฎหมายฉบับนี้อาจแท้งหรือส่อเค้าพิการได้”
รศ.ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า ในส่วนของคณะกรรมการกำกับนโยบายที่มีสัดส่วนข้าราชการประจำ 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คนและนักการเมืองอีก 1 คนนั้น ต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเป็นคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะการให้คนที่ไม่ต้องรับผิดชอบในการตัดสินมากำกับนโยบายก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีประสิทธิภาพได้ ควรจะมีกลไกที่ให้คนตัดสินใจต้องรับผิดชอบด้วยและกำหนดบทบาทหน้าที่ให้ชัดเจนว่าใครรับผิดชอบเรื่องใด
ทั้งนี้ ในความกว้างและหลากหลายของกฎหมายที่ครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ นั้น รศ.ดร.สุเมธ กล่าวว่า สามารถระบุหลายอย่างได้ในกฎหมายฉบับเดียว เช่น น้ำ อากาศและมลพิษ เพียงแต่ต้องมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องเพดานการเก็บภาษี จะเก็บภาษีอย่างไร กำหนดจำนวนหนี้และการรับผิด เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียเตรียมการได้ถูก ซึ่งหากสามารถปรับเปลี่ยนและเพิ่มรายละเอียดต่างๆ ได้ดังกล่าวนี้ กฎหมายก็น่าจะผ่านได้ เพราะเป็นไปตามกระแสโลกด้วยส่วนหนึ่ง
ด้านนางวราทิพย์ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อคิดเห็นต่อร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า ในหลักการยอมรับว่าเป็นแนวความคิดที่ดี ที่จะให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ควรเพิ่มรายละเอียดที่ชัดเจนถึงคนที่จะได้รับผลกระทบ และได้รับผลกระทบอย่างไร ทั้งนี้ร่างฯ ยังกว้างมาก อาจทำให้การจัดเก็บ การประเมินและกำหนดอัตราภาษีในแต่ละกิจกรรมที่นำมารวมกันทำได้ยากขึ้น
“สถานะของร่างฯ ในขณะนี้เมื่อผ่านการพิจารณาและเสนอแนะจากคณะกรรมการกฤษฎีการอบแรกมาแล้ว ก็กลับมาเพิ่มเติมรายละเอียด พิจารณาความซ้ำซ้อนของกฎหมายว่ามีมาตรการใดที่สามารถนำกฎหมายที่มีอยู่มาปรับใช้ได้ จากนั้นก็จะเสนอเข้า ครม.อีกครั้งตามลำดับขั้นตอน โดยยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่ก็จะผลักดันให้ร่างฉบับนี้เดินหน้าต่อไปได้”