คาด ปี 55 ไทยเสี่ยงมหาอุทกภัย "ดร.สมิทธ" จี้รัฐ เร่งจัดการปัญหาน้ำระยะยาว
“ดร.เสรี” กระตุ้นคนไทยเกิดความตระหนักเรื่องภัยพิบัติ อย่าหวังพึ่งเครื่องเตือนภัยอย่างเดียว แนะ รัฐหันกลับมาสนใจ ชุมชน-โรงเรียน-การศึกษา ด้าน ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. เผย ไทยติดอันดับ 85 ประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติ
วันที่ 20 ธันวาคม ณ ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ ซอยพระนาง สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชีนูปถัมภ์ จัดงานมหกรรม “เด็กไทยเรียนรู้ภัยพิบัติ” เพื่อชวนเด็กเยาวชนไทย รับมือแผนน้ำท่วมปี 55 ภายในงานจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “โมเดลเรียนรู้ภัยพิบัติการจัดการน้ำท่วม เด็กและเยาวชนไทยเรียนรู้อะไร จากมหันภัยพิบัติธรรมชาติ” โดยมี ดร.สมิทธ ธรรมสาโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ดร.สมิทธ กล่าวถึงวิกฤตภัยธรรมชาติในอนาคตว่า หน่วยงานวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศมีการศึกษาค้นคว้า พบว่า ในอนาคตภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นไม่ได้จากเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างเดียว แต่เปลือกโลกจะมีการเคลื่อนตัวและบรรยากาศที่ห่อหุ้มจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วย
“สำหรับประเทศไทยในอนาคตจะมีปริมาณน้ำฝนจะมากขึ้น ฉะนั้นการระบายน้ำออกสู่ทะเลต้องมีการระบายที่ถูกต้องและรวดเร็ว โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อด้านอื่นด้วย เพราะผลกระทบจะเกิดเป็นแบบลูกโซ่ ฉะนั้น ต้องมีการเรียนรู้ในหลายแขนง ต้องมีการเตรียมตัวให้รู้ว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง”
ดร.สมิทธ กล่าวอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่กระทรวงศึกษาธิการต้องปรับปรุงหลักสูตร การเรียนรู้และกระบวนการสอนในเรื่องของการรับมือกับภัยพิบัติ โดยให้มีการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยธรรมชาติ และภูมิศาสตร์เบื้องต้น ซึ่งเป็นรากฐานของการเกิดสภาวะต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการเอาตัวรอดยามเกิดภัยพิบัติ
“การเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ มีความจำเป็นต่อเยาวชน วอนให้รัฐบาลเพิ่มหลักสูตรการศึกษาทางภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้ในอนาคตในเรื่องของการพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ได้ นอกจากนี้การพยากรณ์ยังสามารถนำไปช่วยให้เกษตรกรสามารถรู้ระยะเวลาในการปลูกข้าว เกี่ยวข้าว การทดน้ำและเก็บน้ำไว้ในการเพาะปลูกได้ด้วย”
ทั้งนี้ ดร.สมิทธ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทย ต้องมีการจัดการที่เหมาะสม และจัดทำเป็นนโยบายระยะยาว เพราะหากไม่รีบทำก็ต้องเสี่ยงกับการน้ำท่วมขังถาวรในอนาคต โดยเฉพาะปี 2555 ประเทศไทยมีโอกาสเผชิญกับมหาอุทกภัยใหญ่อีก เพราะยังอยู่ในช่วงของปรากฏการณ์ลานินญ่า ฝนจะตกหนักมากกว่าปกติ หากไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสม กรุงเทพฯ อาจน้ำท่วมถาวร
ด้าน ดร.เสรี กล่าวว่า ปัญหาที่พบในขณะนี้คือ นักเรียน นักศึกษาที่จบการศึกษาด้านภัยพิบัติ ภูมิศาสตร์ หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้อง มองว่าเมื่อจบออกมาแล้วไม่มีงานทำ จึงไม่มีใครให้ความสนใจที่จะศึกษาอย่างจริงจัง ส่งผลให้คนไทยขาดความรู้ที่จะรับมือหากเกิดภัยพิบัติ หรือภัยธรรมชาติ
“จากเหตุการณ์สึนามิในญี่ปุ่น เราสามารถสรุปบทเรียน ได้ว่า ความจริงแล้วสิ่งสำคัญนั้นขึ้นอยู่กับความตระหนักในเรื่องนี้ เราจะรอให้ใครมาบอกว่าจะเกิดภัยพิบัติไม่ได้ เราต้องรู้ว่าหากเกิดแผ่นดินไหวอาจทำให้เกิดสึนามิขึ้นได้ และต้องรีบเอาตัวรอด ฉะนั้น ต้องตระหนักและเรียนรู้ว่า พื้นที่ที่เราอยู่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด และจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง”
ดร.เสรี ยังกล่าวอีกว่า เหตุการณ์สึนามิในประเทศไทยเมื่อปี 2547 มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก สาเหตุเกิดจากความไม่ตระหนักเช่นกัน และที่สำคัญจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีมาตรการที่จะแก้ไขในระยะยาว และไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนด้านภัยพิบัติ อีกเช่นเคย ซึ่งบริเวณนั้นยังมีโอกาสที่จะเกิดซ้ำได้อีก
“การอพยพหนีภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่มีอะไรที่จะไปสู้กับเหตุการณ์แบบนี้ได้ เมื่อรู้สึกตัวว่ามีแผ่นดินไหวให้อพยพหนีไปทันที สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่ต้องมีการให้ความรู้ให้กับเยาวชน รวมถึงชุมชน เพื่อให้เกิดความตระหนัก” ดร.เสรี กล่าวและว่า ไม่ควรหวังพึ่งแค่ระบบการเตือนภัย รัฐบาลต้องหันกลับมาให้ความสนใจกับชุมชน โรงเรียน และการศึกษา ไม่ควรให้สนใจเพียงแค่เรื่องที่จะไปสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นมาเพื่อจะป้องกันเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ ดร.อมรวิชช์ เผย ถึงการประเมินความเสี่ยงที่แต่ละประเทศจะเผชิญกับภัยพิบัติว่า ประเทศไทย ติดอันดันที่ 85 จากดัชนีความเสี่ยงทั้งหมด 173 ประเทศทั่วโลก โดยมีการแบ่งการประเมินเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1.โอกาสเผชิญภัยพิบัติ 2.ศักยภาพพื้นฐานในการรองรับผลกระทบ 3.ขีดความสามารถในการจัดการรับมือกับภัยพิบัติ และ 4.ความสามารถในการปรับตัวต่อภัยธรรมชาติ
“สิ่งที่ประเทศไทยยังขาด คือ เรื่องของขีดความสามารถในการจัดการรับมือกับภัยพิบัติ เพราะเราไม่มีการจัดการเตรียมรับมือรวมถึงเรื่องการจัดการในระยะยาวที่ยังมีน้อยมาก เรามีความเสี่ยงอยู่มากในเรื่องของการรับมือ ซึ่งในส่วนนี้ต้องอาศัยความรู้และทักษะ ที่ทุกคนในสังคมต้องมี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงถึงเรื่องค่านิยม และจิตสำนึกด้วย”
ดร.อมรวิชช์ กล่าวอีกว่า ในต่างประเทศมีการเปิดสอนวิชาน้ำท่วมศึกษา ภัยพิบัติศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งหากประเทศไทยจะเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ ต้องเป็นการเรียนรู้ทั้ง สังคม ชุมชน และท้องถิ่น โดยให้การจัดการส่วนกลางนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง และสร้างขีดความสามารถของแต่ละพื้นที่ขึ้นมาเป็นอีกส่วนหนึ่ง สร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้นมาใหม่ ให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้และพึ่งพิงได้ของชุมชน หรือให้เป็นแบบอย่างในเรื่องของการจัดการน้ำ
“อยากเห็นกระบวนการภูมิปัญญาที่สะสมมาในอดีตได้กลับมาใช้เป็นกระบวนการเรียนรู้ชุมชน ที่จะนำมาเป็นภูมิต้านทานที่สำคัญที่สุด เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความรู้หรือทักษะเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การมีจิตสำนึกที่ดีต่อธรรมชาติด้วย”
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดแสดงสื่อการเรียนรู้ต้นแบบจำลองการเกิดสึนามิแห่งแรกในประเทศไทย ผลงานของคณะครูและนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม การออกบูธนวัตกรรมสู้ภัยน้ำท่วมจากนักศึกษามหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี การฝึกปฐมพยาบาลจากสภากาชาด และเกมส์การเรียนรู้ท่ามกลางภัยพิบัติ อีกด้วย