นักวิจัยอิสระ ฉะข้ออ้างรัฐสร้างโรงไฟฟ้า-พยากรณ์ความต้องการพลังงานเกินจริง
อาจารย์นิด้า ชี้คนต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ แนะปรับอัตราภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า จากร้อยละของมูลค่าให้คิดเป็นอัตราหน่วย ด้าน กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก ยื่นหนังสือ ร้องรัฐใช้แผนอนุรักษ์พลังงานเป็นทางเลือกแรกในการวางแผน พีดีพี 2012
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ร่วมกับ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ จัดการสัมมนา เรื่อง “อนาคตไฟฟ้าไทย มาจากไหนหน่วยบอกที..?” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯโดย นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ภาครัฐกับการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า เรื่องของพลังงานเป็นเรื่องที่สำคัญและเชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศ ในมุมมองของภาครัฐเรื่องพลังงานต้องมีการวางแผนแบบระยะยาว เนื่องจากในแต่ละโครงการต้องมีการวางแผน วิเคราะห์ และตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี
“ความมั่นคงทางพลังงาน คือ การมีพลังงานใช้อย่างทั่วถึงไม่ขาดแคลน ต้องเข้าถึงคนทั้งประเทศเข้าถึงพลังงานได้และต้องเชื่อถือได้ด้วย ที่สำคัญคือต้องเข้าถึงพลังงานในราคาที่ไม่สูง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีเรื่องของไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวด้วย เนื่องจากไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า โรงไฟฟ้าจำนวนมากต้องมีการปลดระวาง และหากไม่มีการสร้างทดแทน อาจจะไม่มีไฟฟ้าใช้เพียงพอในภายภาคหน้า”
นายคุรุจิต กล่าวด้วยว่า การพัฒนาต้องควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมพลังงานสะอาด และพลังงานทดแทนภายใต้ศักยภาพที่มีอยู่ ซึ่งต้องมีการวางแผนในระยะยาวเพื่อรองรับการขยายตัวด้วย ทั้งนี้ทางภาครัฐมีความพยายามที่จะเปิดเผยข้อมูลและให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นด้วย
จากนั้น มีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า โดยมีรศ.วิชิต หล่อจีระชุณห์กุล อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นายมงคล สกุลแก้ว รองผู้ว่าการแผนนโยบายและแผนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และนางชื่นชม สง่าราศรี กรีเซน นักวิจัยอิสระ ร่วมอภิปราย
รศ.วิชิต กล่าวว่า ปี 2568 ก๊าซธรรมชาติจะลดลงประมาณร้อยละ 30 นับจากปี 2556 ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเริ่มควรคำนึงถึงอย่างจริงจัง ซึ่งทางออกที่เสนอกันอย่างแพร่หลายได้แก่ นำก๊าซธรรมชาติมาทดแทน, ใช้พลังงานอื่น, นำเข้าพลังงานไฟฟ้า และใช้แผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปีมาใช้เพื่อลดความต้องการการใช้ไฟฟ้า
“ไม่เชื่อว่าคนไทยจะใช้ไฟฟ้าอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อยู่ที่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย นั่นคือ อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมักมีราคาสูง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากระบบภาษี ฉะนั้นต้องส่งเสริมให้คนไทยใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง โดยการเปลี่ยนอัตราภาษี จากคิดเป็นร้อยละของมูลค่า มาเป็นอัตราหน่วยตามจำนวนชิ้นและผลกำไรที่ศุลกากรวางไว้ ซึ่งจะทำให้ของที่ดีมีประสิทธิภาพนั้นราคาถูกลง และของที่ไม่ดีจะมีราคาสูง ทำให้ช่องว่างแคบลงและประชากรได้ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
รศ.วิชิต กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเราตอนนี้ราคาค่าไฟฟ้าสูงกว่าต้นทุนส่วนเพิ่มของภาคไฟฟ้า ซึ่งเป็นการลดความสามารถในการแข่งขันของไทย และการปล่อยให้ค่า Ft ที่เป็นค่าที่ต้องจ่ายเท่ากันทั้งประเทศมีค่าสูงมากไป ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าของคนชั้นล่างขยับสูงขึ้นมาค่อนข้างใกล้กับต้นทุนส่วนเพิ่ม อย่างไม่ควรจะเป็น
ด้าน นายมงคล กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เห็นว่าไทยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤตด้านพลังงาน ได้แก่ การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติมากเกิน เนื่องจากไทยต้องสั่งซื้อก๊าซจากพม่า และหากพม่าไม่ส่งสามารถส่งก๊าซมายังไทยได้ กำลังการผลิตจะหายไป 20% ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟฟ้าดับได้ หากมีกำลังผลิตสำรองไม่ถึง 20%
“ภัยธรรมชาติ เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เนื่องจากโรงไฟฟ้าต้องหยุดผลิต เช่นที่วังน้อย แม้ครั้งนี้จะแก้ไปหาได้ แต่ในอนาคตหากเกิดขึ้นอีกก็เป็นวิกฤตที่ต้องระวัง นอกจากนี้ การต่อต้านโรงไฟฟ้า เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การสร้างโรงไฟฟ้าต้องเลื่อนออกไป”
นายมงคล กล่าวด้วยว่า ในปี 2573 ประเทศจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 17,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสวนทางกับความต้องการการใช้ไฟฟ้าของประชากรที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นจึงต้องมีโรงไฟฟ้าเพิ่มเพื่อให้มีกำลังผลิต 50,000 เมกะวัตต์
ขณะที่ นางชื่นชม กล่าวว่า การที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกล่าวว่าในอนาคตนั้นไฟฟ้าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนนั้นเป็นเรื่องที่ผิด เนื่องจากปัจจุบันไทยมีกำลังไฟฟ้าสำรองถึง 2 เท่า ซึ่งการกล่าวอ้างเช่นนั้นเป็นผลมาจากการพยากรณ์ความต้องการทางไฟฟ้าสูงเกินจริงกว่าที่เกิดขึ้น “เป็นความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการไฟฟ้า การพยากรณ์ต้องพยากรณ์บนพื้นฐานของความเป็นจริง เพราะมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวนมากซึ่งมีกำลังผลิตเพียงพอ ซึ่งวิกฤตที่แท้จริงควรต้องคำนึงถึงการลงทุนเกินความจำเป็น”นางชื่นชม กล่าวและว่า ประเทศไทยไร้ประสิทธิภาพ ในการที่ใช้พลังงานมากแต่มูลค่าต่อเศรษฐกิจน้อย ในขณะที่ต่างประเทศสามารถทำให้เศรษฐกิจโตโดยไม่ต้องใช้พลังงานมาก
ทั้งนี้ นางชื่นชม กล่าวด้วยว่า แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือ PDP 2010 นั้นต้องวางกระบวนการใหม่ ต้องเลือกพลังงานที่ถูกกว่าและสะอาดกว่า ทั้งนี้ ควรมีการใช้โรงไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์แทนแบบกระจุกตัวและควรยืดอายุโรงไฟฟ้า เพื่อลดการสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นใหม่
นอกจากนี้ กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก พร้อมด้วยชาว จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.ชุมพร ได้ยื่นหนังสือแก่ นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเรียกร้องให้ใช้แผนอนุรักษ์พลังงานเป็นทางเลือกแรกในการวางแผนพีดีดี 2012 และคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทับสะแกของ กฟผ. ด้วย
ข้อเรียกร้องกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก