- Home
- Isranews
- ข่าว
- กรมธุรกิจพลังงาน สั่งปรับ บ.จีจีซี 5หมื่น ไม่แจ้งสต็อกน้ำมันเชื้อเพลิง คาดเหตุสินค้าหาย2.1พันล.
กรมธุรกิจพลังงาน สั่งปรับ บ.จีจีซี 5หมื่น ไม่แจ้งสต็อกน้ำมันเชื้อเพลิง คาดเหตุสินค้าหาย2.1พันล.
เผยข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน สั่งปรับ บ.จีจีซี 5 หมื่น หลังไม่รายงานแจ้งสต็อกน้ำมันปาล์มเดือนพ.ค. ตามกม. คาดสาเหตุมาจากปัญหาสินค้าหาย 2.1 พันล. ชี้หากพิสูจน์ทราบผู้บริหารมีส่วนรู้เห็นด้วยโดนปรับเพิ่มอีกส่วน รวมเป็น1 แสนบาท

จากกรณีปรากฏข่าวว่า บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ได้ตรวจพบปัญหาในกระบวนการจัดหาวัตถุดิบและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท พบว่าจำนวนวัตถุดิบของบริษัท ณ วันที่ 31 พ.ค.2561 ที่มีอยู่ 7.18 หมื่นตัน ซึ่งได้ชำระราคาไปทั้งหมด ไม่ตรงกับปริมาณสินค้าคงคลังที่มีอยู่จริง เป็นมูลค่ากว่า 2.1 พันล้านบาท โดยจากการตรวจสอบพบว่า พนักงานจำนวนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน ทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เป็นกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยรู้เห็นกับบุคคลภายนอก ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังได้แจ้งการลาออกของ นายจิรวัฒน์ นุริตานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. เป็นต้นไป แต่ยังคงเป็นกรรมการรบริษัทอยู่ พร้อมแต่งตั้งนายอัฒฑวุฒิ หิรัญบูรณะ รักษาการแทนนั้น
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวกรมธุรกิจพลังงานว่า ขณะนี้กรมธุรกิจพลังงานได้ทำหนังสือถึงบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เพื่อแจ้งปรับเงินจำนวนห้าหมื่นบาท ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ตามมาตรา 42 ที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งบัญชีตามแบบและรายการที่กำหนดในกฎกระทรวง เกี่ยวกับปริมาณ และ สถานที่เก็บของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซื้อ กลั่น ผลิต ได้มา จำหน่ายไปแล้ว และที่เหลืออยู่ในแต่ละเดือนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป หลังจากที่ในช่วงเดือน พ.ค.2561 ที่ผ่านมา บริษัท โกลบอลกรีนฯ ในฐานะผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ไม่ได้นำส่งรายงานสต็อกสินค้าให้เจ้าหน้าที่รับทราบตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีสาเหตุมาจากการที่น้ำมันปาล์มในสต็อกของบริษัทฯ สูญหายไปจำนวน 2.1 พันล้านบาท จึงทำให้บริษัทฯ ไม่แจ้งข้อมูลสต็อกสินค้าให้กรมฯ รับทราบตามปกติ
ทั้งนี้ มาตรา 16 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งบัญชีตามแบบและรายการที่กำหนดในกฎกระทรวง เกี่ยวกับปริมาณ และ สถานที่เก็บของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซื้อ กลั่น ผลิต ได้มา จำหน่ายไปแล้ว และที่เหลืออยู่ในแต่ละเดือนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ ภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 10 ส่งบัญชีตามแบบและรายการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เกี่ยวกับปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซื้อ กลั่น ผลิต ได้มา จำหน่ายไปแล้ว และที่เหลืออยู่ในแต่ละเดือนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป ในกรณีที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือ หรือประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมนอกจากที่ต้องส่งตาม วรรคหนึ่งและวรรคสองได้ ตามแบบและระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 42 ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 16 หรือ ส่งบัญชี หรือแจ้งข้อมูล ตามมาตรา 16 อันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และถ้าหากพิสูจน์ทราบในภายหลังว่าผู้บริหารบริษัทมีส่วนรู้เห็นด้วย จะต้องถูกปรับเงินเพิ่มอีก 5 หมื่นบาท รวมเป็น1 แสนบาท
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ขณะนี้ ปตท.ในฐานะบริษัทแม่เตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจสอบภายในจากบริษัทจีจีซีด้วย เพื่อรายงานให้คณะกรรมการตรวจสอบใช้ประกอบการพิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะมี ความชัดเจนมากขึ้น
ด้านนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีน้ำมันปาล์มดิบของบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC หายไปจากสต๊อกตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. 2561 คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาทว่า กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริงของบริษัท GGC ว่าสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ(CPO) หายไปจริงหรือไม่ โดยคาดว่า GGC จะรายงานกลับมายังกระทรวงพลังงานใน 1-2 วันนี้ แต่ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อปริมาณ CPO สำหรับใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วชนิดพิเศษ B20 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธ์ 20% ในทุกลิตร) ที่คาดว่าจะใช้ประมาณ 15 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันมีสต๊อกปาล์มอยู่ 4-5 แสนตัน
สำหรับโครงการส่งเสริมการใช้ B20 นั้น กระทรวงพลังงานได้เริ่มเปิดตัวโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2561 เป็นครั้งแรก โดยผู้ค่าน้ำมันมาตรา 7 จำนวน 5 ราย ได้แก่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก, บางจาก,ไออาร์พีซี,ซัสโก้และบริษัท ซัสโก้ดีลเลอร์ จะร่วมเปิดจุดจำหน่ายพิเศษสำหรับบริการกลุ่มรถบรรทุก, รถโดยสารสาธารณะ และเรือโดยสาร เป็นต้น ในราคาต่ำกว่าดีเซลทั่วไป 3 บาทต่อลิตร โดยจะตั้งปั๊มพิเศษใกล้กลุ่มรถบรรทุก รถโดยสาร แต่ยืนยันว่าไม่มีจำหน่ายในปั๊มน้ำมันทั่วไป เนื่องจากรถกระบะยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้ได้ ซึ่งต้องการพิสูจน์ต่อไป
ทั้งนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มล้นตลาดและรองรับกรณีน้ำมันโลกปรับสูงขึ้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าขนส่งและค่าโดยสาร กระทรวงพลังงานจึงได้ส่งเสริมให้จำหน่าย B20 ในราคาถูกกว่าดีเซลทั่วไป 3 บาทต่อลิตร ดังนั้นผู้ประกอบการไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าขนส่งและค่าโดยสารอีก
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมา กรมฯ ได้ขอความร่วมมือให้ผู้ค้าน้ำมันปาล์มต้องแจ้งปริมาณสต๊อกปาล์มที่มีอยู่ทุกเดือน ซึ่งในเดือนมิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา มีเพียงบริษัทฯ GGC เท่านั้นที่ไม่ได้รายงานสต๊อกมาให้กรมฯทราบ ซึ่งกรมฯได้ติดตามแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ อย่างไรก็ตามกรมฯรอผลการตรวจสอบของบริษัทฯอยู่เช่นกัน
นายศาณินทร์ ตริยายนท์ นายกสมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซล กล่าวว่า หากสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบของ บริษัท GGC หายจริง ต้องดูว่าหายไปกว่า 7 หมื่นตันจริงหรือไม่ เพราะจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันปาล์มในประเทศ โดยหากน้ำมันปาล์มหายไปจากที่ผู้ประกอบการรายงานสต๊อกไว้กับภาครัฐ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันปาล์มที่มีอยู่จริงเหลือน้อยกว่าสต๊อก ซึ่งอาจมีผลให้ราคาน้ำมันปาล์มขยับสูงขึ้น เพราะเห็นว่าของเหลือน้อย แต่หากน้ำมันปริมาณที่หายไปไม่อยู่ในรายงานสต๊อกของภาครัฐ ก็ไม่น่ามีผลต่อราคามากนัก
อย่างไรก็ตามผลผลิตปาล์มจะออกมาอีกใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งจะมีผลให้ปริมาณน้ำมันปาล์มในระบบสูงขึ้น ซึ่งสามารถทดแทนส่วนที่หายไปของ GGC ได้ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อราคาปาล์ม อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูผลการตรวจสอบก่อนว่า น้ำมันปาล์มหายไปจริงหรือไม่ สำหรับปัจจุบันราคาผลผลิตปาล์มอยู่ที่ 19 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (B100) อยู่ที่ 22-23 บาทต่อลิตร
