- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ผู้จัดการออนไลน์ :::: ‘ปฏิรูปประเทศไทย' ไม่ได้ ถ้าไม่ ‘ปฏิรูปการเมือง’
ผู้จัดการออนไลน์ :::: ‘ปฏิรูปประเทศไทย' ไม่ได้ ถ้าไม่ ‘ปฏิรูปการเมือง’
24 พฤษภาคม 2554
"...ปัญหารากเหง้าของสังคม ไทยเกิดจากความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัญหาสำคัญคือ โครงสร้างอำนาจ คณะกรรมการปฏิรูปจะรวบรวมในสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ถือว่าจะเป็นพิมพ์เขียวให้กับภาคประชาชน และให้พรรคการเมืองนำไปใช้ประโยชน์ในการนำเสนอนโยบายหาเสียงให้กับประชาชน และประเทศ ในส่วนที่เราทำยังไม่สำเร็จเราจะระบุไว้ว่าให้ศึกษาเพิ่มเติม เชื่อว่าหากใครเข้ามาเป็นรัฐบาลสามารถหยิบยกไปสานต่อได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ มีอายุ 3 ปี แต่เมื่อรัฐบาลยุบสภาและจะมีการเลือกตั้ง ดังนั้นคณะกรรมการฯ หารือและได้ข้อสรุปว่าตัดสินใจลาออกทั้งคณะ มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมนี้..."
ทันทีที่สิ้นเสียงของประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) อานันท์ ปันยารชุน ทำเอาหลายคนออกอาการแปลกใจไม่น้อย ถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ เพราะนอกจากคณะกรรมการชุดนี้จะมีภาพลักษณ์ที่ดี ในฐานะที่ได้รวบรวมนักวิชาการระดับหัวกะทิของประเทศ ไม่ว่าจะสีไหนกลุ่มใดเข้าไว้ด้วยกันแล้ว หากยังจำกันได้ ในช่วงแรกของการเข้ามา คำประกาศของคณะกรรมการชุดนี้ก็คือ ความสามารถที่จะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเกิดการเปลี่ยนรัฐบาลหรือขั้วอำนาจก็ตาม โดยไม่จำเป็นต้องใจใส่ในเรื่อง มารยาทการเมืองเท่าใดนัก เพราะนี่ถือเป็นภารกิจที่เพื่อประเทศ ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของบรรดานักการเมือง
แต่หลังระยะเวลาผ่าน 10 เดือนกับงบประมาณที่ถูกใช้ไปแล้ว 19 ล้านบาท การตัดสินใจเช่นนี้ก็ออกมา แน่นอนสิ่งหนึ่งที่อดห่วงไม่ได้ ก็คือการตีความพิมพ์เขียวของ คปร. ของบรรดากลุ่มการเมืองที่จะเข้ามาต่อไปนั้นจะออกมาเช่นใด เพราะคงปฏิเสธได้ยากว่า คงมีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีปัญญามองไปได้ไกลว่า นี่คือมรดกทางการเมืองอย่างหนึ่งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งไม่มีหลักประกันใดๆ ที่บังคับว่า ข้อเสนอเหล่านี้ต้องได้รับการตอบสนอง แถมยังมีข้อเสนอที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของบรรดาบิ๊กการเมืองอีกหลายข้อ อย่างเช่นการปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ
จากเหตุผลดังกล่าวนี้เอง จึงเป็นเรื่องจำเป็นไม่น้อยที่จะต้องมาดูถึงโอกาสความเป็นไปได้ตลอดจนทิศทาง ที่ข้อเสนอเหล่านี้จะถูกนำไปปฏิบัติ หรือผลสุดท้ายแล้วจะเป็นไปอย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกว่า นี่จะเป็นการนำเงินงบประมาณไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำดีๆ นั่นเอง
แต่ก่อนที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงอนาคตที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คงต้องพิจารณาก่อนเป็นเรื่องแรก ก็คืออะไรบ้างที่ถูกบรรจุอยู่ในเนื้อในของพิมพ์เขียวฉบับนี้บ้าง
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบถูกมาพูดคุยมากที่สุด ก็คือ 'ความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วในทุกมิติ' ตัวอย่างเช่น สัดส่วนรายได้ระหว่างคนรวยสุดกับคนจนสุดที่ห่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนที่รวยสุดนั้นมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 55 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กลุ่มจนสุดนั้นอยู่ที่ 4.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และเมื่อมาพิจารณาถึงในการจ่ายภาษีกลับพบว่า ร้อยละ 70 ของครัวเรือนไทยไม่เสียภาษี โดยกลุ่มที่เลี่ยงภาษีมากสุด ก็คือกลุ่มที่ประกอบอาชีพอิสระและการค้า-ธุรกิจ
แน่นอนปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดเมื่อ 1-2 วันนี้ แต่ถูกสะสมมานานนับสิบๆ ปีแล้ว จนลุกลามกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาของประเทศ เพราะมันทำให้อำนาจในการต่อรองระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรมห่างกันมาก จนกลายมาเป็นความล้มเหลวของประเทศชาติในที่สุด เพราะฉะนั้นนั้นหากต้องการจะให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ก็จำเป็นจะต้องขจัดความเหลื่อมล้ำนี้ออกไปให้มากที่สุด
ดังนั้น คปร.จึงมีข้อสรุปในการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพื่อให้ประชากรทุกกลุ่มเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งเรื่องธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ตัวอย่างเช่นทรัพยากรธรรมชาติ ก็มีเรื่องที่ดิน ซึ่ง คปร.พบว่า ปัจจุบันการถือครองที่ดินไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก รัฐและนายทุนครอบครองที่ดินแบบเสียเปล่าไป จึงต้องเสนอให้มีการปฏิรูปที่ดิน โดยกำหนดเพดานการถือครองที่ดินไม่ให้เกิน 50 ไร่ต่อครัวเรือน ใช้ระบบภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า รวมไปถึงการจัดตั้ง 'กองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตร' ทำหน้าที่ซื้อที่ดินส่วนเกินของเอกชนส่วนที่ถือครองเกินเพดาน หรือที่ดินที่เป็นหลักประกันหนี้เสียของธนาคาร เพื่อมาจัดสรรใหม่ให้แก่เกษตรกรที่ขาดแคลนที่ดิน ให้กองทุนธนาคารที่ดินมีโครงสร้างการบริหารแบบกระจายอำนาจไปยังชุมชนท้อง ถิ่นทุกระดับ
ขณะที่เรื่องทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ก็มีข้อเสนอให้มีการปฏิรูประบบแรงงานในประเทศไทย เพิ่มค่าแรงขึ้นเป็น 250 บาทต่อวันต่อการทำงาน 8 ชั่วโมง และให้นายจ้างจ่ายค่าแรงเพิ่มเติมตามทักษะฝีมือ เพื่อกระตุ้นให้แรงงานพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเรื่องกระจายอำนาจของบริการสาธารณสุข โดยกระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจบริหารโรงพยาบาลโดยตรง แต่เปลี่ยนให้โรงพยาบาลเป็นองค์การมหาชน หรือไม่ก็ขึ้นกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแนวคิดเสนอให้ยุบส่วนราชการส่วนภูมิภาค เพราะหมดความจำเป็นแล้ว และให้เกิดการกระจายอำนาจของรัฐบาลไปยังท้องถิ่นให้มากขึ้น โดยคงอำนาจของรัฐบาลกลาง ไว้ที่กิจการต่างประเทศ การทหาร การดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม สวัสดิการพื้นฐาน ภาษี โดยไม่แทรกแซงการบริหารจัดการท้องถิ่น
พอเห็นทิศทางตลอดจนข้อเสนอของ คปร. กันไปแล้วบ้างว่า กำลังวางแผนให้เกิดแก่ประเทศแห่งนี้ว่าอย่างไรบ้าง
แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า แม้ข้อเสนอเหล่านี้จะออกมา 'ดี' และสะท้อนถึงความตั้งใจจะผลักดันประเทศไปสู่สังคมในอุดมคติเพียงใด สุดท้ายโอกาสที่จะถูกนำมาใช้ได้จริงนั้นจะมีเท่าใดกัน โดยเฉพาะในยุคที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนถ่ายอำนาจเช่นนี้ด้วย
แน่นอนคำตอบที่ออกมาจากภาคส่วนต่างๆ พบว่า คล้ายคลึงกัน นั้นก็คือ 'ยากมาก' และตัวกีดขวางที่สำคัญสุด ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น 'ระบบโครงสร้างของประเทศ' และ 'ระบบการเมืองไทย' ที่มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง รัฐบาล ภาคทุนขนาดใหญ่ที่จะไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนเข้าล้างวัฒนธรรมและอำนาจที่ อยู่ในมือไปได้
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า พอมีข้อเสนออะไรที่กระทบกับโครงสร้างดึกดำบรรพ์เหล่านี้ เช่น การเสนอให้ยุบราชการส่วนภูมิภาค (ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ) จึงเกิดเสียงคัดค้านจากผู้ได้รับผลกระทบทันที
โดย คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาระบบสรรหา ชี้ให้เห็นว่า แม้พิมพ์เขียวที่ออกมาจะมีประโยชน์ และถูกมาเคลื่อนไหวในภาคประชาชน แต่เอาเข้าจริงแล้ว คนตัดสินใจไม่ใช่ภาคประชาชน แต่เป็นฝ่ายการเมืองต่างหาก ดังนั้นหากการเมืองไม่เอาด้วย หรือไม่ให้เห็นความสำคัญก็คงเป็นเรื่องยากที่การปฏิรูปประเทศจะเกิดขึ้นได้ อย่างจริง
“โครงสร้างทางการเมืองประเทศไทย เป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง และทุนเป็นหลัก โดยมีนักการเมืองทำหน้าที่เป็นตัวแทนของภาคทุน ภาคธุรกิจ เพราะฉะนั้นโดยโครงสร้างอย่างนี้เป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตาม พิมพ์เขียวที่ทำเอาไว้ และที่สำคัญเราต้องไม่ลืมว่ากระบวนการนี้ รัฐบาลใหม่เขาไม่มีส่วนร่วมเลย อย่างท่านอภิสิทธิ์ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศ จัดงบให้ ไม่เข้าไปแทรกแซง แต่การเมืองไม่ใช่นายกฯ คนเดียว แต่หมายถึงนักการเมือง ส.ส.-ส.ว. ซึ่งเขาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อเขามารับหน้าที่ต่อแล้วมันจะเกิดเป็นจริงได้อย่างไร”
เพราะฉะนั้น สิ่งออกมาจึงหนีไม่พ้นการเป็นเครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น เป็นการตอบโจทย์การเมืองตามสถานการณ์ที่ยากจะนำมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งไม่ผิดไปจากคำกล่าวของ ชัยพันธ์ ประภาสะวัต ผู้อำนวยการสถาบันสิทธิชุมชน ที่มองว่าสุดท้ายแล้ว คปร.ก็เป็นแค่เพียงแค่เครื่องมือสมานฉันท์ระหว่างรัฐและภาคประชาชนก็เท่า นั้น
“มันเหนื่อยเปล่าที่จะทำต่อ มันเหมือนกับว่าคณะกรรมการปฏิรูปฯ เป็นเหมือนยาแดง ยาสมานแผล ให้แก่รัฐบาลด้วยซ้ำไป เหมือนรถดับเพลิงเข้าไปดับไฟ เข้าไปตรงไหนชาวบ้านก็มารับฟัง ด้านชาวบ้านก็เออ...รัฐบาลมารับฟัง, คณะกรรมการปฏิรูปฯ มารับฟัง ก็ใจเย็น รอก่อนได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวเขาคงมาแก้ไขให้ ผลสุดท้ายไม่มีอะไรเลยที่รัฐบาลรับฟังจริงๆ หรือนำมาเป็นนโยบายที่ต้องแก้ไข”
สอดคล้องกับความเห็นของ รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มองว่า สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็คงจบไปพร้อมกับรัฐบาลชุดนี้ เพราะนอกจากจะไม่มีใครให้ความสนใจอย่างจริงจังแล้ว ก็คงจะให้ใครมาสานงานต่อได้ยาก เนื่องจาก ข้อเสนอหลายอย่างนั้นกระทบต่อเส้นทางความก้าวหน้าของคนบางกลุ่มโดยตรง เช่น การยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็อยากเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอกัน ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน นอกจากประเด็นเรื่องโครงสร้างทางการเมืองแล้ว ยังพบอีกด้วยว่าข้อเสนอบางส่วนนั้นยังเป็นเพียงแค่ไอเดียของคณะกรรมการฯ ซึ่งยังไม่มีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาเลย อย่างเช่นกองทัพ กระบวนการยุติธรรม และระบบข่าวสารข้อมูล ซึ่งหลายคนมองว่า นี่คือหนึ่งในปัญหาสำคัญของประเทศที่จะต้องมีปฏิรูปหรือการจัดให้เข้าระบบ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปออกมา
แน่นอน เมื่อแต่ละภาคส่วนไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่า คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วจะมีหนทางไหนบ้างที่พิมพ์เขียวเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ได้จริงๆ
คำตอบก็คือ 'มี' แต่ คงอาศัยพลังของประชาชนที่อยากจะเห็นประเทศนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทาง ที่ดีขึ้น โดยผู้ที่ต้องรับหน้าที่เป็นหัวหอกในการผลักดันนั้น ชัยพันธ์บอกว่า ต้องเป็นหน้าที่ คปร.เท่านั้น
“การที่ คปร.ทิ้งพิมพ์เขียวแนะแนวทางปฏิรูปไว้นั้น จึงไม่เกิดประโยชน์เลยหากไม่มีผู้ผลักดันอย่างจริงจัง สุดท้ายก็จะกลายเป็นแค่กระดาษออกมาชุดหนึ่งเหมือนเดิม ผมว่าตัวเองคิดกันออกมามันต้องรณรงค์ออกมา เหมือนกับเรื่องรัฐธรรมนูญปี 2540 น่าจะใช้วิธีแบบนั้นมากกว่า เพราะงานที่คณะกรรมการปฏิรูปฯ ทำ ภาคประชาสังคมจำนวนมากไม่มีส่วนรับรู้เลยว่า พวกท่านทำอะไรกันบ้าง อย่างรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีการนำเรื่องนี้ออกมาเสนอต่อสาธารณชนเลย มันก็เลยทำให้สิ่งที่อุตส่าห์ทุ่มแรงกายแรงใจลงไปนั้น ถึงไม่ได้เป็นความสูญเปล่าแต่ก็ไม่คุ้มกับงบประมาณที่ทุ่มลงไป มันมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่ามีการทุ่มเงินลงไป แต่ผลสุดท้ายก็ได้เพียงหนังสือรายงานเล่มเดียว อยากให้นำสิ่งดีๆ ของคณะกรรมการปฏิรูปฯ ออกมาผลักดันให้เป็นรูปเป็นร่าง แต่คนที่จะผลักดันได้นั้นก็เป็นหน้าที่ของทางคณะกรรมการปฏิรูปฯ ไม่ใช่เสนอแล้วก็จบกันไป”
ขณะเดียว นอกจากการรณรงค์แล้ว การแก้ปัญหาที่รากเหง้าของระบบอย่าง โครงสร้างการเมือง ก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน เพราะตัวอย่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นั้นถือเป็นตัวสะท้อนได้อย่างดีว่า ถึงแม้ของจะดีและได้เสียงเชียร์สักเพียงไหน แต่เมื่อคนใช้ไม่มีความสุจริตพอ ก็มีสิทธิ์กลายเป็นของเน่าได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น คำนูญจึงเสนอว่าควรจะมีการปฏิรูปการเมืองไปพร้อมๆ กันเสียเลย
“การ ปฏิรูปประเทศไม่อาจทำได้สำเร็จหากไม่มีการปฏิรูปการเมืองก่อน การปฏิรูปประเทศไม่ว่าเราจะทำพิมพ์เขียวออกมา ถูกต้องสมบูรณ์อย่างไรหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ในที่สุดแล้ว คนที่ต้องลงมือทำก็คือคนที่อยู่ในระบบการเมือง ก็คือรัฐบาล สภาฯ ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่ทำ สภาฯ ไม่เอาด้วย โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร นโยบายอะไรที่คิดไว้ก็ยากที่จะไปปรากฏเป็นรูปธรรมจริงๆ"
ผู้จัดการออนไลน์