- Home
- Isranews
- กระจายข่าว
- "มิว สเปซ" มิติใหม่สตาร์ทอัพไทย ดึงเทคโนโลยีดาวเทียม แก้ปัญหาชนบทเข้าไม่ถึงเน็ตความเร็วสูง
"มิว สเปซ" มิติใหม่สตาร์ทอัพไทย ดึงเทคโนโลยีดาวเทียม แก้ปัญหาชนบทเข้าไม่ถึงเน็ตความเร็วสูง
30 ม.ค. 2561 - การแข่งขันเทคโนโลยีด้านอวกาศโลกปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลายประเทศแข่งกันปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเพื่อใช้ประโยชน์ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การสร้างความมั่นคงทางอาหาร การสาธารณสุข การจัดการภัยพิบัติและการจัดการทรัพยากรต่างๆบนโลก รวมถึงล่าสุดสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอวกาศแห่งแรกของไทย "มิว สเปซฯ" กับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน คือ การใช้ ประโยชน์จากดาวเทียมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีและบุกเบิกการท่องเที่ยวอวกาศ
นายวรายุทธ (เจมส์) เย็นบำรุง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า การให้บริการทางธุรกิจของ มิว สเปซฯ มุ่งเน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีอวกาศหรือดาวเทียมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนและการท่องเที่ยวอวกาศ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญของพันธกิจของ มิว สเปซ คือ ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการนำดาวเทียมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะดาวเทียม คือ เทคโนโลยีสำคัญในการปลดล็อคความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสร้างระบบอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในพื้นที่ห่างไกลและการนำมาปรับใช้กับสื่อสารในรูปแบบต่างๆ รวมถึง การรองรับ IOT และ Smart City ในอนาคตด้วย
“ “อินเตอร์เน็ต” เป็นเครื่องมือสำคัญและเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการช่วยสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในยุคการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล ถือเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกเพราะนำมาซึ่งการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา การประกอบอาชีพ การติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก แต่ปัจจุบันยังมีคนไทยสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงน้อยมากโดยข้อมูลจากกิจการโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยของกสทช. พบว่ามีเพียง 12 % หรือคิดเป็น 8 ล้านคน จาก 68 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำและทำให้เหล่านั้นเสียโอกาสในชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาที่เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาชีวิต เพราะความรู้คืออำนาจที่ทำให้ประชาชนสามารถพึ่งตัวเองได้ ดังนั้น มิว สเปซฯ อยากปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด เพราะการเสียโอกาสในการพัฒนาตัวเองงของคนเหล่านั้น หมายถึงการเสียโอกาสในการพัฒนาของชาติด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญและอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเราอยากให้ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นายวรายุทธ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิว สเปซฯ กล่าวว่า สาเหตุที่พื้นที่ชายขอบในถิ่นทุรกันดารยังไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ เป็นเพราะการลงทุนสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมในพื้นที่เหล่านี้คืนทุนยาก เพราะปกติในพื้นที่ห่างไกลเหล่านี้จะมีประชากรเบาบางและมีความยากจน ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีดาวเทียมจึงเป็นตัวเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องลักษณะภูมิประเทศ เพราะดาวเทียมสามารถเข้าถึงได้ในทุกพื้นที่ที่เทคโนโลยีอื่นๆไม่สามารถเข้าถึงนอกจากนี้ดาวเทียมยังมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอีกในหลายด้าน ทั้งเรื่องการสื่อสาร การเตือนภัยล่วงหน้าและการจัดการภัยพิบัติ การพยากรณ์อากาศที่มีความเที่ยงตรงสามารถนำไปสู่การทำเกษตรแม่นยำได้ รวมถึงการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้องการนำดาวเทียมมาพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ได้มากที่สุด” นายวรายุทธ กล่าว
นายวรายุทธ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานที่สำคัญของ มิว สเปซฯ คือ บริษัทได้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม แบบมีโครงข่ายเป็นของตนเอง (ดาวเทียม) จากสำนักงานจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นระยะเวลา 15 ปี ซึ่งถือว่าเป็นสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอวกาศรายแรกของประเทศไทยที่มีความพร้อมที่จะเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมสื่อสาร โดยครอบคลุมถึงการบริหารจัดการดาวเทียมและบริการต่างๆ จนถึงปีพ.ศ. 2575
นอกจากนี้ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพหุภาคีกับทั้งทางรัฐบาลและหน่วยงานอื่นๆ ในการสร้างและพัฒนาโครงการดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์ ( Digital Park Thailand)และ ศูนย์การเรียนรู้ไอโอที (Internet of Things Institution-IOT) ซึ่งส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นต้นแบบ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของประเทศในภูมิภาคและผลักดันให้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ประสบความสำเร็จ เป็นต้นแบบของเมืองที่มีความเท่าทันการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีและภาคธุรกิจเท่านั้นแต่รวมถึงการสร้างสังคมที่ดีขึ้นด้วย
“มิว สเปซฯ ต้องการมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจการให้บริการโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมในประเทศไทยและการเพิ่มทางเลือกและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสมกับผู้ใช้งานทั้งในภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าวได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและส่งเสริมธุรกิจโทรคมนาคมและดาวเทียมในประเทศไทยและขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ตลอดจนการร่วมรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมในอวกาศเป็นซึ่งทรัพยากรของชาติด้วยการนำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะต้องอาศัยการประสานงานและการได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งในประเทศและในต่างประเทศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิว สเปซฯ กล่าว
นายวรายุทธ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ มิว สเปซฯ ยังได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรร่วมกับ บริษัท Blue Origin ของ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon.com และมีความสนใจเรื่องเทคโนโลยีอวกาศ โดยมิว สเปซฯ จะมีการส่งดาวเทียมที่กำลังพัฒนาอยู่ไปกับจรวด New Glenn ในปี 2564 รวมถึงความร่วมมือในการท่องเที่ยวอวกาศด้วยแคปซูลอวกาศ New Shepard ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาเช่นกัน คาดว่าจะมีการทดสอบในเร็วๆนี้
“จากรายงานของ Bank of America Merrill Lynch (BofA) มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอีก 30 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลกจะมีมูลค่าประมาณ 88.2 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีเพียง Blue Origin, SpaceX และ Virgin Galactic เท่านั้น ที่เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอวกาศ ทำให้เราตัดสินใจเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ ซึ่งจะเป็นที่แรกของเอเชียและประเทศไทยมีทำเลที่เหมาะสม เพราะเป็นประเทศเป้าหมายของนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว และจะเป็นผลดีต่อประเทศไทยในการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องอวกาศ ซึ่งจะมีความสำคัญในอนาคตและหลายประเทศกำลังพัฒนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้ปัจจุบันการท่องเที่ยวเชิงอวกาศจะมียังราคาที่สูงอยู่ แต่ในอนาคตราคาจะถูกลงกว่านี้ เพราะมีการใช้จรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reuseable Rocket) ซึ่งทั้ง SpaceX และ Blue Origin กำลังพัฒนาอยู่” นายวรายุทธ กล่าว
สำหรับ นายวรายุทธ หรือ เจมส์ เย็นบำรุง มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศ โดยจบการศึกษาปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขา Aerospace, Aeronautical and Astronauticalจาก University of California, Los Ageles (UCLA) และปริญญาโทคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขา Mechanical Engineering จาก University of California, Los Ageles (UCLA) ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ร่วมงานกับ บริษัท Northrop Grumman Corporation ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอวกาศและการป้องกันประเทศ อันดับต้นๆของโลก ในตำแหน่งวิศวกรและผู้จัดการโครงการ Satellite, Unmanned Aviation System หลังจากใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศถึง 14 ปี จึงกลับมาเมืองไทย เพื่อนำความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอวกาศมาพัฒนาประเทศ โดยก่อตั้ง mu Space ในเดือนกันยายน 2560 ที่ผ่านมา