- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ชะตากรรมแรงงานข้ามชาติ บนช่องโหว่กฎหมายพิสูจน์สัญชาติและกระบวนการนายหน้า
ชะตากรรมแรงงานข้ามชาติ บนช่องโหว่กฎหมายพิสูจน์สัญชาติและกระบวนการนายหน้า
เปิดเส้นทางชีวิตแรงงานข้ามชาติหลังได้รับการผ่อนผันการขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติ 120วัน ที่กฎหมายยังมีช่องโหว่เปิดทางกระบวนการนายหน้าขูดรีด เงินสะพัดกว่าพันล้าน
“ไม่ว่าจะผ่อนผันขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติออกไปอีกกี่ปีกี่เดือน สิ่งที่เราเจอคือวิธีปฏิบัติแบบเดิมๆจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นที่ตำรวจที่ชอบรีดไถถึงแม้พวกเราจะมีเอกสารทุกอย่างครบ กระทั่งกระบวนการจะขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติ เราก็ต้องเสียเงินค่านายหน้ามากกว่าความเป็นจริง แบบนี้สู้เราไม่มีเอกสารอะไรเลยยังจะง่ายกว่า”
นี่คือปากคำแรงงานข้ามชาติชาวพม่าจาก จ.สมุทรสาคร ที่สะท้อนความรู้สึกอัดอั้นตันใจกับประสบการณ์อันเลวร้ายในการเข้ามาเผชิญชีวิตในประเทศไทย
ยังมีแรงงานพม่าจาก จ.ปทุมธานี ที่สะท้อนว่า“สิบกว่าปีที่แล้วผมลักลอบเดินทางข้ามมายังฝั่งไทย และนัดแนะญาติไว้ที่ปราจีนบุรี ขณะนั้นงานที่ต้องการมากที่สุดคือการเลี้ยงวัวเลี้ยงหมูในฟาร์ม ผมผ่านกระบวนการทำงานในประเทศไทยมาทุกขั้นตอนทั้งผิดและถูกกฎหมาย ปัจจุบันนี้ผมมีบัตรทุกอย่างถูกกฎหมายแล้ว แต่ปัญหาที่พบคือกระบวนการพิสูจน์สัญชาติยังมีจุดอ่อนอีกมาก เพราะแรงงานไม่สามารถยื่นเรื่องเองได้ ต้องผ่านนายหน้าและโบรกเกอร์ที่ต้องใช้เงินมาก”
ทั้งนี้จากความต้องการแรงงานในประเทศไทย โดยที่งานบางประเภทแรงงานไทยปฏิเสธที่จะทำ เช่นงานหนักลำบาก เสี่ยงต่อชีวิต อาทิ แรงงานประมง แรงงานก่อสร้าง แรงงานภาคเกษตร แรงงานอุตสาหกรรมหนัก หรือแม้กระทั่งแรงงานที่ทำงานบ้านก็ยังขาดแคลน ทำให้ความต้องการแรงงานข้ามชาติมีเพิ่มเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีการจัดจ้างตามระบบเอ็มโอยู (MOU) ที่รัฐไทยทำข้อตกลงทำกับรัฐบาล 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา โดยนายจ้างที่ต้องการนำเข้าแรงงานข้ามชาติทั้ง 3 ประเทศนี้ต้องยื่นคำร้องขอเพื่อให้ได้โควต้า เมื่อได้แล้วก็ต้องนำแรงงานดังกล่าวไปขอยื่นรับใบอนุญาตทำงาน โดยนายจ้างจะต้องดูแลการใช้งานแรงงานข้ามชาติ ดูแลการเดินทาง รวมถึงการยกเลิกการทำงานของแรงงานเหล่านี้
ภายหลังมีเปลี่ยนระบบให้แรงงานข้ามชาติมีโอกาสเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างเสรีขึ้น โดยใช้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติแทน กรมการจัดหางานระบุว่ามีแรงงานข้ามชาติพม่า ลาวและกัมพูชาเข้ามาทำงานในไทยและผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว 8.7 แสนคน เป็นพม่า 5 แสนคน กัมพูชา 7 หมื่นคน ส่วนแรงงานลาวไม่มีการพิสูจน์สัญชาติ ทำให้ปัจจุบันเหลือแรงงานที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ 3 แสนคน
แต่ปัญหาคือจำนวนแรงงานข้ามชาติมีมาก ทำให้ระยะเวลาพิสูจน์สัญชาติที่รัฐบาลกำหนดไว้ไม่ทัน ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ 15 ม.ค.56 ผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลา 120 วัน มติดังกล่าวจะครอบคลุมเฉพาะแรงงานข้ามชาติที่เคยได้รับการผ่อนผันมาก่อนหน้านี้และไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้ทันตามกำหนดเวลาเดิมคือ 14 ธ.ค.55 รวมทั้งแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารใดๆหรือไม่เคยได้รับการผ่อนผัน หรือได้รับการผ่อนแต่สิ้นสดลงแล้ว รวมถึงลูกหลานแรงงานข้ามชาติที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้อาจไม่ใช่หนทางที่จะแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติได้จบสิ้น
อดิศร เกิดมงคล จากองค์กรเครือข่ายที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (migrant working group) ระบุว่า “มติครม.นี้ค่อนข้างเปิดกว้างให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในไทยและยังไม่ได้รับหนังสือเดินทาง ครอบคลุมไปถึงลูกแรงงานข้ามชาติที่อายุไม่เกิน 15 ปีด้วย แต่แรงงานข้ามชาติตามมติครม.นี้จะต้องเป็นแรงงานที่มีนายจ้างแล้ว เพราะนายจ้างต้องเป็นผู้ดำเนินการยื่นเอกสารทั้งหมดภายใน 1 เดือน ซึ่งหากรวมจำนวนตัวเลขของแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติในไทยทุกคนรวมถึงลูก น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน กังวลว่ากรมจัดหางานจะดำเนินการได้ทัน 120 วันหรือไม่”
การระบุให้นายจ้างต้องส่งเอกสารความต้องการการจ้างงานและสัญญาต่างๆภายในแค่ 1 เดือน หากนายจ้างไม่รับรู้ข้อมูลไม่ดำเนินการให้หรือดำเนินการไม่ทัน แรงงานข้ามชาติก็จะไม่สามารถขอหนังสือเดินทาง หรือขอทำงานต่อไปได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่นายจ้างและแรงงานข้ามชาติจะพึ่งบริษัทนายหน้าที่รับจ้างดำเนินการแทน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและถูกผลักภาระให้แรงงานข้ามชาติ” อดิศร กล่าว
ด้านตัวแทนแรงงานข้ามชาติ จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า “แรงงานข้ามชาติที่มีนายจ้างอยู่แล้วอาจไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่ที่ไม่มีนายจ้างและอยู่ในภาวะสุญญากาศจากการหานายจ้างใหม่จะได้รับผลกระทบและไม่สามารถขอพิสูจน์สัญชาติได้จนต้องถูกผลักดันกลับประเทศ โดยสาเหตุหลักๆที่ต้องหานายจ้างใหม่ อาทิ ค่าจ้างไม่เป็นไปตามข้อตกลง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำงาน นอกจากนี้เป็นปัญหาคือค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นมากตามลำดับ โดยแรงงาน 1 คน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินเรื่องผ่านนายหน้าเกือบสองหมื่นบาท ทั้งๆที่ความเป็นจริงค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์สัญชาติประมาณ 6 พันบาทเท่านั้น”
แต่ข้อจำกัดที่แรงงานข้ามชาติไม่สามารถดำเนินการได้เอง ทั้งข้อจำกัดทางกฎหมาย ภาษาที่ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ นายจ้างบางคนไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ในกระบวนการเหล่านี้ จึงต้องดำเนินการผ่านนายหน้า และมติครม.ที่มีการจำกัดระยะเวลา จะเป็นการเพิ่มอัตราการเติบโตของกระบวนการนายหน้าอย่างทวีคูณ ดังนั้นทางแก้คือรัฐควรหาแนวทางการพิสูจน์สัญชาติวิธีใหม่
“โดยให้แรงงานสามารถยื่นเรื่องผ่านเจ้าหน้าที่รัฐด้วยตนเอง มีล่ามคอยให้ข้อมูล มีการดำเนินการที่ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน นอกจากนั้นรัฐควรมีระบบควบคุมบริษัทที่รับทำหน้าที่เป็นนายหน้ามิให้เรียกค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป และมีมาตรการลงโทษอย่างจริงต่อนายหน้าที่ทำผิดกฎหมายเอารัดเอาเปรียบแรงงานและนายจ้าง เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้การหาผลประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติก็คงไม่จบสิ้น ทั้งจากนายหน้า หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐไทย เจ้าหน้าที่รัฐจากประเทศต้นทาง และกระทั่งนายจ้างเองก็ยังเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติจากกระบวนการเหล่านี้ด้วย” แรงงานข้ามชาติจาก จ.สมุทรปราการระบุ
จากข้อมูลของเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ พบว่ามีแรงงานข้ามชาติจำนวนมากที่ต้องเสียเงินจากกระบวนการนอกกฎหมาย แม้กระทั่งนายจ้างในหลายบริษัทเองก็ยังไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติ บางบริษัทเรียกรับเงินจากแรงงานด้วยการให้ข้อมูลที่ผิดๆ และพบว่ามีบริษัทที่จดทะเบียนเป็นนายหน้ารับดำเนินการขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติมากถึง 99 บริษัท บางแห่งที่จดทะเบียนเป็นบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกัน แสดงถึงความเฟื่องฟูของธุรกิจดังกล่าว มิหนำซ้ำยังมีความเสี่ยงในการผูกขากการดำเนินการเพื่อปั่นราคา
ท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวรกรรม แต่ขึ้นอยู่กับความโปร่งใส ถูกต้อง และยุติธรรม ในการดำเนินการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนั่นเอง !!