- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิดจม.ประวัติศาสตร์ “Secret Nominee”จุดชนวนมหากาพย์ซุกหุ้น”ทักษิณ”
เปิดจม.ประวัติศาสตร์ “Secret Nominee”จุดชนวนมหากาพย์ซุกหุ้น”ทักษิณ”
ในช่วงที่หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ”เริ่มเจอร่องรอยเมื่อต้นเดือนกันยายน 2543 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยน่าจะนำรายชื่อคนรับใช้ อาทิ น.ส.บุญชู เหรียญประดับ ,น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี และนายชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์ ยามบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น มาถือหุ้นในบริษัทแทนตนเองและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา
แต่จำนวนหุ้นที่พบมีมูลค่าเป็นหลักสิบล้านบาท ได้แก่หุ้น บริษัทเอสซี แอสเสท จำกัด(คนละบริษัทกับ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ในปัจจุบัน)เมื่อเทียบกับทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทของครอบครัวชินวัตรถือว่า มีมูลค่าน้อยมาก
ช่วงที่ทีมงานซึ่งทำข่าวดังกล่าว กำลังหาประเด็นที่จะเจาะหาข้อมูลต่อนั้น ปรากฏว่า มีจดหมายใช้หมึกสีน้ำเงินเขียนด้วยลายมือที่อ่านค่อนข้างง่าย(ตามภาพ)ลงวันที่ 20 กันยายน 2543 ใช่ชื่อว่า “Secret Nominee” เขียนถึง"ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์”ซึ่งเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจในขณะนั้น ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ให้คนรับใช้ถือหุ้นแทนมูลค่านับหมื่นล้านบาทในช่วงเดือนมิถุนายน 2547 โดยมีการตีพิมพ์เรื่องดังกล่าวในนิตยสาร Who is Who in Business and Finance (เป็นนิตยสารในเครือการเงินการธนาคาร)ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2537
ตรงนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ขัดแย้งกับคำให้การของ พ.ต.ท.ทักษิณตต่อศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าไม่รู้ว่า มีการซุกหุ้นในชื่อของคนรับใช้นับหมื่นล้านบาท
แต่บรรยากาศในทางการเมืองเมื่อปี 2544 ด้วยกระแส “ทักษิณฟีเวอร์”ไม่สนใจว่า ผู้นำประเทศจะต้องเป็นคนที่มีสัจจะวาจาหรือไม่ จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียง 8 ต่อ 7 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 295
อย่างไรก็ตามด้วยการ “จุดชนวน”ด้วยจดหมายประวัติศาสตร์ของ “Secret Nominee”ทำให้การ “ซุกหุ้น”ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นมหากาพย์ที่ตามหลอกหลอนครอบครัวชินวัตรมาจนทุกวันนี้และไม่รู้ว่าจะส่งผลถึงสะเทือนรัฐบาล”ยิ่งลักษณ์”ด้วยหรือไม่ ?
ต่อไปนี้เป็นเนื้อหาในจดหมายประวัติศาสตร์ฉบับดังกล่าว
เรียน คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสิทธิ์
เผอิญผมนึกได้ว่า ชื่อแม่บ้านคุณทักษิณนั้น มันฟังคุ้นๆ ก็เลยลองย้อนไปดูนิตยสาร Who’s Who in Business and Finance ฉบับแรกปีที่ 1 ฉบับที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ซึ่งมีการจัดอันดับ 200 เศรษฐีตลาดหุ้นไทยก็เลยถึงบางอ้อ!
จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ ณ 30 มิ.ย.37 ปรากฏว่า เจ้านายผู้ชาย กับ เจ้านายผู้หญิง มีหุ้น SHIN มูลค่ารวมกันเกือบๆ 4 หมื่นล้านบาท (สัดส่วนหุ้นรวม 50 – 19%) รวยเป็นอันดับ 2 และ 3 ส่วนคุณดวงตา วงศ์ภักดี ถือหุ้น SHIN 4.33% จำนวน 6 ล้านหุ้นมูลค่า 3,348 ล้านบาท รวยเป็นอันดับที่ 10 ของเศรษฐีหุ้นไทย ในขณะที่คุณบุญชู เหรียญประดับ รวยหุ้นเป็นอันดับที่ 13 โดยถือ SHIN 1.68 ล้านหุ้น (สัดส่วน 1-21%) มูลค่า 937 ล้านกว่าบาทรวมกับหุ้น UCOM อีก 4.15 ล้านหุ้น (สัดส่วน 3.55%) มูลค่าเกือบ 2 พันล้านบาท รวมแล้วรวย 2,900 กว่าล้านบาท
นอกจากนี้ นิตยสาร Who’s Who ยังได้จัดอันดับตามตระกูลซึ่งก็แน่นอน ตระกูลชินวัตรมาเป็นอันดับ 1 ตระกูลวงศ์ภักดีได้อันดับที่ 19 และ ตระกูลเหรียญประดับ รวยหุ้นเป็นอันดับที่ 23 เป็นการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นของประเทศไทย
พร้อมกันนี้ ผมได้ส่งสำเนาของข้อมูล(เป็นตารางการถือครองหุ้นตามลำดับมูลค่าหุ้น ปรากฏว่า ทุกคนมีประวัติการทำงาน การศึกษายาวเหยียด แต่คนรับใช้ 3 คนคือ น.ส.บุญชู น.ส.ดวงตา และนายชัยรัตน์(ถือหุ้นมูลค่า 5,042 ล้านบาท) ที่ถือหุ้นมูลค่ารวมกันกว่า 11,000 ล้านบาทหรือ 1ใน 4 ของมูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตร ไม่มีประวัติแม้แต่บรรทัดเดียว-ประสงค์)มาให้คุณประสงค์ได้พิจารณาด้วย
ผมไม่ทราบและไม่อยากจะคิดด้วยว่า ที่คุณทักษิณทำเช่นนี้ด้วยเหตุผลอะไร เพราะคงมีแต่เจ้าตัวและคนใกล้ชิดเท่านั้นที่ทราบค่าตอบที่แท้จริง คนที่เพียบพร้อมด้วยเงินมหาศาล กำลังต้องการชื่อเสียงและอำนาจ ไม่ใช่เรื่องแปลกเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน
แต่คุณประสงค์ช่วยนึกให้ผมทีว่า ตระกูลนี้ กลุ่มบริษัทนี้ ได้เคยมีอะไรที่ทำให้กับสังคมไทยบ้างก่อนที่จะแสวงหาชื่อเสียงและอำนาจ ทิศทางของธุรกิจเพิ่งคิดจะคืนอะไรให้สังคมบ้าง ก็เมื่อคิดได้แล้วว่าจะได้อะไรตอบแทนกลับมาในทางอำนาจวาสนาทางการเมืองเท่านั้น
ในสภาวะที่บ้านเมืองกำลังยกย่องบูชา คนเก่ง คนรวย เหนือกว่าคนดี โดยมิได้คำนึงถึงที่มาและที่ไปของสถานะนั้น สังคมควรจะได้คิดด้วยว่า คนเก่งแต่เพียงอย่างเดียวนั้น สามารถทำความเสียหายได้ร้ายแรงกว่าคนธรรมดาสามัญ มากมายหลายเท่านัก
สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบ สื่อต้องเป็นเครื่องมือของประชาชน ให้ผมได้เห็นการเมืองที่โปร่งใส สร้างสรรค์ ในชีวิตนี้ด้วยเถิด
นับถือ
Secret Nominee
หมายเหตุ-จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นมาเมื่อกว่า 10 ปีก่อน(ถูกรื้อค้นขึ้นมาโดยบังเอิญขณะจะย้ายห้องทำงาน) ขณะที่ยังไม่มีวาทะกรรม “ไพร่” “อำมาตย์” และ “สองมาตรฐาน” แต่เหมือนกับผู้เขียนเห็นอนาคตข้างหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง