- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- รวมกฎอัยการศึก 8 ยุคจาก พ.อ.พหลฯ 2476 -บิ๊กตู่ 2557 ครั้งแรกคลอดตีสาม
รวมกฎอัยการศึก 8 ยุคจาก พ.อ.พหลฯ 2476 -บิ๊กตู่ 2557 ครั้งแรกคลอดตีสาม
รวมกฎหมายประกาศกฎอัยการศึก ประกาศคณะปฏิวัติ 5 แผ่นดิน จาก ร.ศ.126 ยุค ร.5 สู่ยุคพันเอกพหลฯ-จอมพล ป.-จอมพลสฤษดิ์-จอมพลถนอม-บิ๊กจ๊อด-บิ๊กบัง-ฉบับบิ๊กตู่ 20 พ.ค. 57 ครั้งแรกคลอดตอนตีสาม

หลังจากประเทศใช้การตรา กฎหมายกฎอัยการศึกในรัชกาลที่ 5 เมื่อ 10 ธ.ค. ร.ศ. 126 และมีการแก้ไขในรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2457 ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประกาศใช้วันที่ 20 พ.ค.57 เวลา 03.00 น. นายกรัฐมนตรี ผู้นำทางการทหาร คณะปฏิวัติ ได้ใช้ประกาศกฎอัยการศึกอย่างน้อย 8 ฉบับ ไม่รวมข้อบังคับหลายฉบับที่ออกในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวมมาเสนอดังนี้
10 ธ.ค. ร.ศ. 126 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ร.ศ.126 มีทั้งหมด 8 มาตรา ให้อำนาจทหารออกประกาศกฎอัยการศึกในการรักษาความสงบเมื่อมีสงครามหรือจลาจลได้
27 ส.ค.2457 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ประกาศแก้ไขกฎอัยการศึกซึ่งได้ตราเป็นพระราชบัญญัติไว้ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๐ (ร.ศ.๑๒๖) และเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย และให้ใช้กฎอัยการศึกซึ่งได้ตราเป็นพระราชบัญญัติขึ้นใหม่ ให้เรียกว่า “กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗” มีทั้งหมด 17 มาตรา เนื้อหาสำคัญ
มาตรา 4 ระบุว่า เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น ณ แห่งใด ให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่น อย่างใด ๆ ของทหาร มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก ฉะเพาะในเขตร์อำนาจน่าที่ของกองทหารนั้นได้ แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด
มาตรา 5 การที่จะเลิกใช้กฎอัยการศึกแห่งใดนั้น จะเปนไปได้ต่อมีประกาศกระแสพระบรมราชโองการเสมอ
มาตรา 6 ในเขตร์ที่ใช้กฎอัยการศึกนั้น เจ้าน่าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าน่าที่ฝ่ายพลเรือนทุกตำแหน่งไม่ว่าในกระทรวงทบวงการอันใด กับในการระงับปราบปรามหรือรักษาความสงบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องช่วยเหลือเกื้อหนุนราชการทหารทุกสิ่งทุกอย่างตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร
มาตรา 7 พลเมือง ซึ่งได้กระทำความผิดในคดีอาญาในเขตร์แขวงที่ใช้กฎอัยการศึกนั้น ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาอย่างใด ต้องพิจารณาพิพากษาในศาลทหารทั้งสิ้น แลให้เปนไปตามพระธรรมนูญศาลทหารทุกประการ แต่ศาลพลเรือนคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความอาญาที่ตกค้างอยู่ก่อนใช้กฎอัยการศึก แลศาลทหารมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาความอาญาที่ตกค้างอยู่ เมื่อเลิกใช้กฎอัยการศึก (อ่านรายละเอียดด้านล่าง)
(1) 12 ต.ค.2476 พันเอกพหลพลพยุหเสนา ผู้บัญชาการทหารบก ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก มาตรา 4 ปี 2457 ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่มณฑล กรุงเทพฯและมณฑลอยุธยา อ้างเหตุผลทหารต้องใช้อำนาจและกำลังเข้าระงับปราบปรามการจลาจล เริ่มใช้ 12 ต.ค.เวลา 14.15 น. เป็นต้นไป
(2) 7 ม.ค.2484 อาทิตย์ ทิพอาภา พล.อ.พิชเยนทร โยธิน คณะผู้สำเร็จราชการแทนในพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประกาศกฎอัยการศึก เนื่องจากการรุกรานของประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศส จึงต้องใช้กำลังบางส่วน จากทหาร ตำรวจ และประชาชนร่วมใจกันต่อสู้ จึงประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 24 จังหวัด ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เริ่มใช้ วันที่ 8 ม.ค.2484 เวลา 06.00 น.
(3) 10 ธ.ค.2484 อาทิตย์ ทิพอาภา พล.อ.พิชเยนทร โยธิน คณะผู้สำเร็จราชการแทน ในพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขัน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตั้งแต่ 20.45 น.วันที่ 10 ธ.ค.2484 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกฯ
5 ม.ค.2485 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกข้อบังคับฉบับที่ 5 อ้างมาตรา 17 ของกฎอัยการศึก 2457 ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในภาวะสงครามให้ทำงานอย่างครบถ้วน เรียบร้อย และไม่ชักช้า
21 ม.ค.2485 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ข้าหลวงแต่ละจังหวัดและแต่ละอำเภอ มีอำนาจสั่งการข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ตุลาการ ในพื้นที่นั้นๆได้ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ
1 มี.ค.2485 ออกข้อบังคับออกตามความในกฎอัยการศึกฉบับที่ 2 ให้อาจทหารในการห้ามออกหนังสือพิมพ์เป็นการชั่วคราว
3 ส.ค.2485 ประกาศกองบัญชาการทหารสูงสุด ออกตามความประกาศแก้ไขเพิ่มเติมการใช้กฎอัยการศึกฉบับที่ 2 ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีทุจริต
25 ส.ค.2485 ประกาศกองบัญชาการทหารสูงสุด ฉบับที่ 3 ความผิดในคดีอาญาที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน สงขลา ให้ขึ้นศาลพลเรือน ยกเว้นคดี ยกเว้นกรณีประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรี และราชอาณาจักร
25 ส.ค.2485 ประกาศกองบัญชาการทหารสูงสุด ฉบับที่ 4 ให้อำนาจศาลทหารพิจารณาคดีความผิดอาญา
27 มี.ค.2486 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกข้อบังคับฉบับที่ 6 อ้างมาตรา 17 ของกฎอัยการศึก 2457 ออกข้อบังคับให้อำนาจอธิบดีกรมตำรวจมีอำนาจจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อเหตุความไม่สงบสอบสวนและส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการตามกฎหมาย
8 ธ.ค.2486 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกข้อบังคับฉบับที่ 7 อ้างมาตรา 17 ของกฎอัยการศึก 2457 ให้อำนาจทหารในการสร้างที่มั่น สร้างทางรถไฟในการอำนวยความสะดวกในการต่อสู้ได้
(4) 30 มิ.ย.2494 ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภ พฤฒิยากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประกาศใช้กฎอัยการศึก ในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ตั้งแต่ 30 มิ.ย.2494 เวลา 10.00 น. เพื่อรักษาความเรียบร้อยจากภัยภายนอกและภายในราชอาณาจักร ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ วรการบัญชา รัฐมนตรี
(5) 16 ก.ย.2500 ประกาศกฎอัยการศึกทุกมาตราทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ เวลา 23.00 น.เป็นต้นไป จอมพล ส. ธนะรัชต์ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
(6) 20 ต.ค.2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตช์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ 21.13 น.วันที่ 20 ต.ค.2501
13 ธ.ค.2515 จอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติออกประกาศคณะปฏิวัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎอัยการศึกให้อำนาจทหารดำเนินการตรวจค้น จับกุม ปิดสื่อได้ทุกอย่าง (ไม่กำหนดเวลา)
15 ต.ค.2519 พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 732/2519 ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกในการระงับยับยั้งรักษาความสงบ ตั้งแต่ วันที่ 6 ต.ค.2519 เวลา 19.10 น.
(7) 23 ก.พ.2534 พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ (บิ๊กจ๊อด) หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ออกประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 4 เรื่องการใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.2534 เวลา 11.30 น.เป็นต้นไป
(8) 19 ก.ย.2549 พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาญาจักร และให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน2549 เวลา 21.05 น.
น่าสังเกตว่า การประกาศใช้กฎอัยการศึกในช่วงที่ผ่านมา เกิดขึ้นเวลากลางวัน 4 ครั้ง ส่วนกลางคืนดึกสุดเป็นเวลา 5 ทุ่ม (ยุคจอมพลสฤษดิ์) การประกาศกฎอัยการศึกฉบับ พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงเวลาตีสามถือเป็นครั้งแรก
พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก
พระพุทธศักราช ๒๔๕๗
|
พระราชปรารภ |
มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศทราบทั่วกันว่า กฎอัยการศึกซึ่งได้ตราเปนพระราชบัญญัติไว้ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๐ (ร.ศ.๑๒๖) นั้น อำนาจเจ้าพนักงานฝ่ายทหารที่จะกระทำการใด ๆ ยังหาตรงกับระเบียบพิไชยสงคราม อันจะได้รักษาความเรียบร้อยปราศจากไภย ซึ่งจะมีมาจากภายนอก หรือเกิดขึ้นภายในได้ โดยสดวกไม่ บัดนี้ สมควรแก้ไขกฎอัยการศึกและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๐ (ร.ศ.๑๒๖) นั้นเสีย แลให้ใช้กฎอัยการศึกซึ่งได้ตราเปนพระราชบัญญัติขึ้นใหม่ดังต่อไปนี้ |
|
นามพระราชบัญญัติ |
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ ให้เรียกว่า “กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗” |
|
ใช้พระราชบัญญัติที่ ใดเมื่อใดต้องประกาศ |
มาตรา ๒ เมื่อเวลามีเหตุอันจำเปน เพื่อจะได้รักษาความเรียบร้อยปราศจากไภย ซึ่งจะมีมาจากภายนอกหรือภายในพระราชอาณาจักรนั้นแล้ว จะได้มีประกาศพระบรมราชโองการ ให้ใช้กฎอัยการศึกในส่วนหนึ่งส่วนใดของพระราชอาณาจักร หรือตลอดทั่วทั้งพระราชอาณาจักร แลถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใดหรือณที่ใดแล้ว บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใดๆ ซึ่งขัดกับความในพระราชบัญญัตินี้ ต้องยกเลิกทั้งสิ้น |
|
ลักษณประกาศ |
มาตรา ๓ ถ้าไม่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประราชอาณาจักร ในประกาศนั้นจะได้แสดงให้ปรากฏว่า มณฑลใด ตำบลใด หรือเขตร์ใด ใช้กฎอัยการศึก |
|
ผู้มีอำนาจใช้กฎอัยการศึก |
มาตรา ๔ เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้นณแห่งใด ให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเปนผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่น อย่างใด ๆ ของทหาร มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก ฉะเพาะในเขตร์อำนาจน่าที่ของกองทหารนั้นได้ แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด |
|
เมื่อเลิกต้องประกาศ |
มาตรา ๕ การที่จะเลิกใช้กฎอัยการศึกแห่งใดนั้น จะเปนไปได้ต่อมีประกาศกระแสพระบรมราชโองการเสมอ |
|
อำนาจทหารเมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก |
มาตรา ๖ ในเขตร์ที่ใช้กฎอัยการศึกนั้น เจ้าน่าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าน่าที่ฝ่ายพลเรือนทุกตำแหน่งไม่ว่าในกระทรวงทบวงการอันใด กับในการระงับปราบปรามหรือรักษาความสงบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องช่วยเหลือเกื้อหนุนราชการทหารทุกสิ่งทุกอย่างตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร |
|
อำนาจศาลทหารแลอำนาจศาลพลเรือน เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก |
มาตรา ๗ พลเมือง ซึ่งได้กระทำความผิดในคดีอาญาในเขตร์แขวงที่ใช้กฎอัยการศึกนั้น ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาอย่างใด ต้องพิจารณาพิพากษาในศาลทหารทั้งสิ้น แลให้เปนไปตามพระธรรมนูญศาลทหารทุกประการ แต่ศาลพลเรือนคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความอาญาที่ตกค้างอยู่ก่อนใช้กฎอัยการศึก แลศาลทหารมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาความอาญาที่ตกค้างอยู่ เมื่อเลิกใช้กฎอัยการศึก |
|
เจ้าน่าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจ |
มาตรา ๘ เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกในตำบลใด, เมืองใด, มณฑลใด, เจ้าน่าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะตรวจค้น, ที่จะเกณฑ์, ที่จะห้าม, ที่จะยึด, ที่จะเข้าอาไศรย, ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่, แลที่จะขับไล่ |
|
การตรวจค้น |
มาตรา ๙ การตรวจค้นนั้น ให้มีอำนาจที่จะตรวจค้นดังต่อไปนี้ ๑) ที่จะตรวจค้นบรรดาสิ่งที่จะเกณฑ์, หรือต้องห้าม, หรือต้องยึด, หรือจะต้องเข้าอาไศรย, ไม่ว่าในที่ใด ๆ หรือเวลาใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ๒)ที่จะตรวจจดหมายหรือโทรเลขที่มีไปมาถึงกันในเขตร์ แขวง ที่ใช้กฎอัยการศึกนั้นได้ก่อน |
|
การเกณฑ์ |
มาตรา ๑๐ การเกณฑ์นั้นให้มีอำนาจที่จะเกณฑ์ได้ดังนี้ ๑) ที่จะเกณฑ์พลเมืองให้ช่วยกำลังทหารในกิจการ ซึ่งเนื่องในการป้องกันพระราชอาณาจักร์ หรือช่วยเหลือเกื้อหนุนราชการทหารทุกอย่าง ทุกประการ ๒)ที่จะเกณฑ์ยวดยาน, สัตว์พาหนะ, เสบียงอาหาร, เครื่องสาตราวุธ, แลเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ จากบุคคลหรือบริษัทใด ๆ ซึ่งราชการทหารจะต้องใช้เป็นกำลังในเวลานั้นทุกอย่าง |
|
การห้าม |
มาตรา ๑๑ การห้ามนั้นให้มีอำนาจที่จะห้ามได้ ดังนี้ ๑) ที่จะห้ามมิให้มีการมั่วสุมประชุมกัน ๒)ที่จะห้ามบรรดาการออกหนังสือเปนข่าวคราว ซึ่งราชการทหารเห็นว่าไม่เปนการสมควรในสมัยนั้น คือห้ามมิให้มีการออกหนังสือเปนข่าวคราวไม่ว่าอย่างใดก่อนที่เจ้าน่าที่จะได้ตรวจแลมีอนุญาตแล้วว่าให้ออกได้ ๓) ที่จะห้ามมิให้พลเมืองสัญจรไปมาในทางหลวง ซึ่งเจ้าน่าที่เห็นว่าเปนการจำเปนในแห่งใดแห่งหนึ่งหรือหลายแห่ง ๔) ที่จะห้ามมิให้พลเมืองใช้สาตราวุธบางอย่างซึ่งราชการทหาร เห็นเปนการขัดกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ในเขตร์แขวงนั้น ๆ |
|
การยึด |
มาตรา ๑๒ บรรดาสิ่งซึ่งกล่าวไว้ ในมาตรา ๙ มาตรา ๑๐ แลมาตรา ๑๑ นั้นถ้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเห็นเปนการจำเปน จะยึดไว้ชั่วคราวเพื่อมิให้เปนประโยชน์แก่ราชสัตรู หรือเพื่อเปนประโยชน์แก่ราชการทหาร ก็มีอำนาจยึดได้ |
|
การเข้าอาไศรย |
มาตรา ๑๓ อำนาจการเข้าพักอาไศรยนั้นคือที่อาไศรยใด ๆซึ่งราชการทหารเห็นจำเปนและใช้เปนประโยชน์ในราชการทหารแล้ว มีอำนาจไศรยได้ทุกแห่ง |
|
การทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ |
มาตรา ๑๔ การทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่นั้น ให้อำนาจกระทำได้ ดังนี้ ๑) ถ้าแม้การสงครามหรือรบสู้เปนรองราชสัตรู มีอำนาจที่จะเผาบ้าน แลสิ่งซึ่งเห็นว่าจะเปนกำลังแก่ราชสัตรู เมื่อกรมกองทหารถอยไปแล้ว หรือถ้าแม้ว่าสิ่งใด ๆ อยู่ในที่ซึ่งกีดกับการสู้รบก็ทำลายได้ทั้งสิ้น ๒) มีอำนาจที่จะสร้างที่มั่น หรือดัดแปลงภูมิประเทศหรือหมู่บ้าน เมือง สำหรับการต่อสู้ราชสัตรู หรือเตรียมการป้องกันรักษา ตามความเห็นชอบของเจ้าน่าที่ฝ่ายทหารได้ทุกอย่าง |
|
การขับไล่ |
มาตรา ๑๔ ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใด ซึ่งไม่มีภูมิลำเนาอาไศรยเปนหลักฐาน หรือเปนผู้มาอาไศรยในตำบลนั้นชั่วคราว เมื่อมีความสงไสยอย่างหนึ่งอย่างใดหรือจะเปนแล้ว มีอำนาจที่จะขับไล่ผู้นั้นให้ออกไปจากเมืองหรือตำบลนั้นได้ |
|
ร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับจากเจ้าน่าที่ฝ่ายทหารไม่ได้ |
มาตรา ๑๖ ความเสียหายซึ่งอาจบังเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเรื่องอำนาจของเจ้าน่าที่ฝ่ายทหาร ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในมาตรา ๘ ถึง มาตรา ๑๕ บุคคลหรือบริษัทใด ๆ จะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดแก่เจ้าน่าที่ฝ่ายทหารไม่ได้เลย เพราะอำนาจทั้งปวงที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้ปฏิบัติแลดำเนินการตามกฎอัยการศึกนี้เปนการสำหรับป้องกันพระมหากระษัตริย์ ชาติ ศาสนา ด้วยกำลังทหารให้ดำรงคงอยู่ในความเจริญรุ่งเรืองเปนอิศระภาพ แลสงบเรียบร้อยปราศจากสัตรู ภายนอกแลภายใน |
|
มอบอำนาจให้เจ้ากระทรวง |
มาตรา ๑๗ ในเวลาปรกติสงบศึก เจ้ากระทรวงซึ่งบังคับบัญชาทหาร มีอำนาจตรากฎเสนาบดีขึ้นสำหรับบรรยายข้อความ เพื่อให้มีความสะดวก แลเรียบร้อยในเวลาที่จะใช้กฎอัยการศึกได้ตามสมควร ส่วนในเวลาสงครามหรือจลาจล แม่ทัพใหญ่ หรือแม่ทัพรองมีอำนาจออกข้อบังคับบรรยายความเพิ่มเติมให้การดำเนิรไปตามความประสงค์ของกฎอัยการศึกนี้ แลเมื่อได้ประกาศกฎเสนาบดี หรือข้อบังคับของแม่ทัพในทางราชการแล้ว ให้ถือว่าเปนส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัตินี้ |
ประกาศมา ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ เปนวันที่ ๑๓๘๖ ในรัชกาลปัตยุบันนี้







