- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เสียงสุดท้าย”ทัศน์กมล โอบอ้อม” ผู้อยู่เคียงข้างกระเหรี่ยงแก่งกระจาน (มีคลิป)
เสียงสุดท้าย”ทัศน์กมล โอบอ้อม” ผู้อยู่เคียงข้างกระเหรี่ยงแก่งกระจาน (มีคลิป)
เวลาประมาณ 19 นาฬิกาเศษ วันที่ 10 กันยายน 2554 นายทัศน์กมล โอบอ้อม อายุ 55 ปี หรือที่รู้จักกันทั่วไปในอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ว่า “อาจารย์ป๊อด” อดีตผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเพชรบุรี เขต 3 พรรคเพื่อไทย ขับรถแวนยี่ห้อจี๊ป รุ่นเชอโรกี สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ภย 4754 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนเพชรเกษม ขาเข้า มุ่งหน้าจังหวัดเพชรบุรี ถึงท้องที่หมู่ 6 ต.ถ้ำรงค์ อ.บ้านลาด คนร้ายไม่ทราบจำนวน ขับรถยนต์ไม่ทราบประเภท รุ่น สีและทะเบียน ประกบทางด้านขวา มือปืนในรถยนต์ลึกลับระเบิดกระสุนใส่หลายนัดก่อนจะหลบหนีไป ส่วนรถแวน เชอโรกี เสียหลักปะทะกับต้นไม้ข้างทาง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึง นายทัศน์กมล เสียชีวิตแล้ว ด้วยกระสุนปืนขนาด 11 มม. พุ่งเจาะเข้าจุดสำคัญหลายแห่ง ซึ่งตำรวจเชื่อว่าคนร้ายมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนพอสมควร
นายทัศน์กมล โอบอ้อม เคยเป็นครูโรงเรียนท่ายางวิทยา เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลหนองจอก อำเภอท่ายาง ลงสมัคร ส.ส.ครั้งแรกในนามพรรคชาติไทยแต่สอบตก เช่นเดียวกับการลงสมัครในครั้งที่ 2 ในนามพรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้นานกว่า 20 ปี นายทัศน์กมล คลุกคลีอยู่กับชุมชนชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในฐานะอาสาสมัครฟื้นฟูคุณภาพชีวิต จึงเป็นที่รู้จักของชาวกะเหรี่ยงทั้งที่มี และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน บทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทางราชการคือเป็นผู้ประสานงานให้ชาวกะเหรี่ยงในป่าช่วยติดตามค้นหา ตชด. ที่หายสาบสูญไประหว่างปฏิบัติหน้าที่ชายแดนไทย-พม่า เมื่อปี 2535 จนช่วย ตชด.ออกจากป่าได้สำเร็จ 4 คน หลังจาก ตชด.ชุดนั้นหลงอยู่ในป่านานถึง 35 วัน
ช่วงหลังเหตุการณ์ ฮ.ตก 3 ลำ ซี่งต่อเนื่องมาจากแผนปฏิบัติผลักดันชนกลุ่มน้อยของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา นายทัศน์กมลได้เคลื่อนไหวด้วยการให้ข่าวสื่อมวลชนว่า เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในประเทศไทย เพราะมีความสนิทสนม รู้จักชาวกะเหรี่ยงเหล่านั้นดีว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในประเทศไทย
ปมประเด็นถูกลอบฆ่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็น ชนวนเหตุการลอลยิงนายทัศน์กมลหลายประเด็น ครอบคลุมทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและเรื่องส่วนตัว แต่ให้ความสำคัญมากกับประเด็นที่นายทัศน์กมล เป็นผู้ประสานงาน ออกโรงเคลื่อนไหวช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อพยพ ผลักดันออกจากป่า ซึ่งมีการร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการอย่างรุนแรง ถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สิน เพื่อผลักดันออกจากถิ่นที่อยู่อย่างไร้มนุษยธรรม ไปยังสภาทนายความและกรรมธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อไม่นานมานี้
โดยเพียงแค่สองวันก่อนถูกยิงเสียชีวิต นายทัศน์กมลไปร่วมงานเสวนา “กะเหรี่ยงแก่งกระจาน สิทธิมนุษยชนและปัญหาการจัดการป่าไม้” ซึ่งกลุ่มวิจัยความขัดแย้งและพหุวัฒนธรรมจัดขึ้นที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และได้พูดให้ข้อมูลกับวิทยากร แสดงความคิดเห็นไว้ระหว่างการเสวนา ระบุว่าปฎิบัติการผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกจากป่าแก่งกระจาน เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่คนกลุ่มน้อยจากประเทศพม่า ยืนยันว่ามีการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยง เช่นเดียวกับเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
รายละเอียดการเสวนา
การเสวนา “กะเหรี่ยงแก่งกระจาน สิทธิมนุษยชนและปัญหาการจัดการป่าไม้” มีวิทยากร 3 ท่านร่วมเสวนาคือ ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง ผศ.ชูพินิจ เกษมณี นักวิชาการอิสระและนายวีรวัธน์ ธีรประสาธน์ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ และอดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นวิทยากร
นายทัศน์กมล ได้พาผู้นำท้องถิ่นหลายคนในตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งนายคออี้ มี่มิ อายุ 103 ปี กับลูกชายคนเล็กชื่อน่อแสะ ( ผู้ร่วมค้นหา ตชด.ที่สูญหายในป่ากับพี่ชายชื่อน่อแอะ เมื่อปี 2535) ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่ถูกผลักดันออกจากป่าแก่งกระจานมาแสดงตัว ยืนยันต่อวิทยากรและสื่อมวลชน
ข้อมูลเบื้องต้นของการเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ได้มีการร้องเรียนไปยัง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่า “โครงการอพยพ ผลักดัน จับกุมชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า” ดำเนินการโดยอุทยานแห่งชาติ จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงการปฎิบัติการครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 23-26 มิถุนายน 2554 มีการเผา ทำลาย รื้อถอนเพิงพัก บ้านเรือนและยุ้งข้าว ทำให้ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมประมาณ 40 ครอบครัว จำนวนกว่า 100 คน ได้รับความเดือนร้อนจากการปฏิบัติหน้าที่จากเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างไร้มนุษยธรรม มีชาวกะเหรี่ยง 7 ครอบครัว จำนวน 39 คนอพยพลงมาอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านโป่งลึก บ้านบางกลอย อำเภอห้วยแม่เพรียง ที่เหลืออีก 30 กว่าครอบครัว ประมาณ 100 คน ยังหลบหนีอยู่ในป่าแก่งกระจาน
“เมื่อพิจารณาจากการเผาบ้านเรือนของคนกะเหรี่ยงแก่งกระจาน เรื่องชนกลุ่มน้อยซึ่งสื่อมวลชนก็ใช้กัน ปรากฎในเอกสารอย่างเป็นทางการของโครงการปฏิบัติการผลักดัน มีนัยว่าชนกลุ่มน้อยไม่ใช่เรา อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นคนพม่า ในเอกสารทางการก็ระบุคำว่าเคเอ็นยู การใช้คำว่าบุกรุก
ผู้ทำลายป่า เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เป็นการสร้างภาพว่าคนเหล่านี้เป็นคนอื่น”
“นี่ก็คือกระบวนการทำลายคุณค่าของความเป็นคน เมื่อความเป็นคนถูกลดคุณค่า ก็นำไปสู่ความชอบธรรมที่จะดำเนินการอพยพ ผลักดัน เผาทำลายสิ่งปลูกสร้าง จับชนกลุ่มน้อยที่เข้ามากระทำผิดมาดำเนินคดี “ ดร.ขวัญชีวัน กล่าว และสรุปว่า
“เป็นการกระทำที่ลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ใช่คนไทย เป็นคนพม่า ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้”
ผศ.ชูพินิจ เกษมณี นักวิชาการอิสระ ได้ให้ความรู้ทั่วไปเรื่องชาวกะเหรี่ยงว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ปัจจุบันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพม่าและไทย เมื่อ 10 ปีก่อนมีการสำรวจพบว่ามีประมาณ 4 แสนคนในอาศัยอยู่หลายจังหวัด และตั้งข้อสังเกตุว่าข้อสังเกตุพบว่าจังหวัดที่มีชาวเขาอาศัยอยู่ในป่าอยู่มาก เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ตาก มีพื้นที่ป่ามากกว่าจังหวัดอื่นๆ เพราะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่กับป่าไม่ทำลายป่า และกล่าวถึงการทำไร่หมุนเวียนว่าไม่ใช่การทำไร่เลื่อนลอย
ผศ.ชูพินิจ อธิบายการทำไร่หมุนเวียนชองชาวกะเหรี่ยงว่าไม่ใช่การทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งเป็นการทำลายป่า แต่ไร่หมุนเวียนคือการทำไร่ด้วยการปลูกพืชหลายชนิดและให้ผืนดินในป่าได้พักฟื้นตามกระบวนการทางธรรมชาติ แล้วจึงกลับมาทำในที่เดิมอีก ไม่ใช่การขยายพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่าไปเรื่อยๆ
“การทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง ไม่ใช่การทำไร่ข้าวอย่างเดียว มีพืชอีกสี่สิบ ห้าสิบ หกสิบชนิดปนอยู่ในนั้น เป็นการใช้กระบวนการทางธรรมชาติให้ป่าฟื้นตัว 6 ปี 7 ปี ก็กลับไปทำใหม่ ไม่ใช่ไร่เลื่อนลอยเพราะไม่ได้ไปตัดไม้ในป่าเพิ่มขึ้น ที่เราพยายามให้ใช้คำว่าไร่หมุนเวียนก็เพราะให้เข้าใจว่าไม่ใช่ไร่เลื่อนลอย” ผศ.ชูพินิจ กล่าว
นายวีรวัธน์ ธีรประสาธน์ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทำงานอยู่พื้นที่ที่มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรนานถึง 16 ปี กล่าวว่า มีปัจจัย 5 ประการที่คนมักเชื่อว่าทำให้เกิดการทำลายป่าคือ1.การเพิ่มประชากร 2.ชุมชนขาดความรู้ 3.ทำไร่เลื่อนลอย 4.ความยากจน 5. กฎหมายมีการบังคับใช้น้อย ซึ่งความเชื่อนี้ เมื่อเกิดการตัดไม้ทำลายป่า ความผิดก็มาตกอยู่กับคนจน
นายวีรวัธน์ กล่าวถึงความไม่เข้าใจของของเจ้าหน้าที่ของรัฐเรื่องการจัดการป่าไม้ว่า มี 4 ประการคือ 1.ไม่เข้าใจในวิถีชีวิต วัฒนธรรมของคนที่แตกต่างกัน 2. ไม่เข้าใจวิธีการจัดการป่าด้วยปรัชญาตะวันออก 3.ไม่เข้าใจว่า อำนาจตามกฎหมายที่ใช้ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ 4.ไม่เข้าใจพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของตนเองว่าเป็นอย่างไร
“ ต้องยอมรับก่อนว่าทุกป่าในประเทศไทยเคยมีคนอยู่มาก่อน การจัดการแบบให้ป่าปลอดคนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ต้องหันมามองหาวิธีให้คนอยู่กับป่าแบบวิถีตะวันออกเป็นแบบองค์รวม คือคน สัตว์ป่า ต้นไม้อยู่ร่วมกันในธรรมชาติ อย่างมุ่งตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่ให้ป่าเป็นที่ตอบสนองความเชื่อทางวัฒนธรรม การดำเนินชีวิตของคนจำนวนมาก ...อย่างทุ่งใหญ่นเรศวร ถ้าไม่มีชาวกะเหรี่ยงอยู่ที่นี่ ป่าทุ่งใหญ่หมดไปแล้ว และป่าทุ่งใหญ่ก็จะไม่ได้เป็นมรดกโลกด้วย”
นายนิรันดร์ พงษ์เทพ ประธานสภา อบต.ห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า โครงการอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากป่าแก่งกระจาน ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่มาพูดคุยหรือหารือผู้นำชุมชนและชาวบ้านว่า เมื่อมีการอพยพชาวกะเหรี่ยงออกมาแล้วจะช่วยเหลือเขาอย่างไร มีที่ทำกินหรือไม่ และจะดำเนินชีวิตกันอย่างไร ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความช่วยเหลือแก่คนที่ถูกผลักดันออกจากป่า “เจ้าหน้าที่เอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่ ไม่ถามชาวบ้าน อพยพลงมาแล้วก็ทำอะไรต่อไม่ได้ ปล่อยกันไว้อย่างนั้น ชาวบ้าน(กะเหรี่ยงดั้งเดิม)ก็มีวิธีการจัดการ ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ การศึกษา คิดแต่ว่ามีกฎหมายอยู่ในมือจะทำอะไรก็ได้”
นายทัศน์กมลพูดระหว่างการเสวนา
แม้ว่าจะยังไม่รู้ชัดว่าสาเหตุของการถูกลอบยิงเสียชีวิตมาจากเรื่องใดแน่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้น้ำหนักในประเด็นนี้ สำนักข่าวอิศราจึงนำรายละเอียดคำพูดตอนสำคัญของนายทัศน์กมลระหว่างการเสวนจากคลิปวีดิโอมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นการพูดต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายเรื่องปฏิบัติการรุนแรงของเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจานต่อชาวกะเหรี่ยง ก่อนถูกยิงเสียชีวิต
“ เคยไปกินข้าวบ้านชาวกะเหรี่ยงแต่ต่อมาก็เผาบ้าน อย่างล่าสุดคือปู่คออี้ (ที่พามาด้วย) ก็ถูกเผา และระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเจ้าหน้าที่ขาดข้อมูล ขาดการศึกษาเชิงวัฒนธรรม ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องข้าวมาก การเผา การทำลายข้าวจึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวกะเหรี่ยง”
“ ผมทนไม่ได้ อย่างนี้เค้ากลัวนะ ทุกวันนี้ก็มีการข่มขู่ ผมกำลังบอกว่าเวลานี้ ถ้าหากว่าการจัดการปัญหาครั้งนี้ไม่เรียบร้อยด้วยบูรณาการที่ดี มีระบบของคุณธรรม ผมบอกได้เลยว่า มันมีคำพูดออกมาแล้วว่าจะทำให้เหมือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้...วันนี้เป็นโอกาสสำคัญ ถ้าหากว่าสังคมหรือผู้บริหารระดับบนมองข้ามเรื่องนี้แล้ว ผมก็ยับยั้งไม่ได้”
ภายหลังการเสวนา นายทัศน์กมลกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จะช่วยชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ต่อไป โดยจะประสานงานเรื่องยื่นถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานความช่วยเหลือ ขั้นตอนอยู่ระหว่างการทำหนังสือให้ชาวกะเหรี่ยงผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกผลักดันลงลายมือชื่อ อย่างไรก็ตาม แม้ประเด็นนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้น้ำหนักมาก แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายประเด็นที่อาจเป็นชนวนเหตุให้ถูกลอบยิง ซึ่งทุกประเด็นยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน
ชม Clip Vedio