- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- น้ำท่วมขั้นวิกฤติ ตำรวจฉวยโอกาสจับกุม รีดไถแรงงานข้ามชาติ
น้ำท่วมขั้นวิกฤติ ตำรวจฉวยโอกาสจับกุม รีดไถแรงงานข้ามชาติ
สถานการณ์น้ำท่วมขั้นวิกฤติในหลายจังหวัดของภาคกลางและกำลังไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวไทยประสบกับความเดือดร้อนอย่างหนักเท่านั้น หากแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านก็ได้รับความเดือดร้อนด้วยเช่นกัน และดูเหมือนว่าจะได้รับความยากลำบากมากกว่าเจ้าของประเทศเสียอีก
ก่อนจะเกิดสถานการณ์มหาอุทกภัย คาดว่ามีแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะแรงงานจากประเทศพม่า ซึ่งขึ้นทะเบียนแรงงานอย่างถูกต้องหลายแสนคน ทำงานในโรงงานภาคอุตสาหกรรมและบริการ ในจังหวัดนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ยังไม่รวมกับแรงงานข้ามชาติเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก เมื่อรวมกันแล้วคาดว่ามีจำนวนมากถึงหลักล้านคน
ในช่วงเริ่มเกิดน้ำท่วมหนักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีข่าวปรากฎในสื่อมวลชนว่า แรงงานต่างด้าวติดอยู่ในที่พักที่น้ำล้อมรอบ ไม่กล้าออกมาขอความช่วยเหลือ เพราะมีปัญหาในการสื่อสารด้วยภาษาไทย และกลัวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดีเพราะไม่มีหลักฐานแสดงตนอย่างถูกต้อง จึงยอมรออยู่ในที่พักจนกว่าน้ำจะลดลง แต่ในที่สุดก็ต้องขอความช่วยเหลือเพราะทนต่อความหิวโหย ไม่มีอาหารและน้ำบริโภคต่อไปได้
นอกจาก แรงงานข้ามชาติเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือเพื่อการยังชีพเบื้องต้นแล้ว ก็ยังมีปัญหาด้านที่พักพิงชั่วคราว เนื่องจากที่พักถูกน้ำท่วม ไม่สามารถอาศัยอยู่ต่อไปได้ แรงงานข้ามชาติเหล่านี้ไม่กล้าไปรับความช่วยเหลือด้านที่พักพิงจากศูนย์อพยพชั่วคราว แม้จะไปขอรับความช่วยเหลือก็อาจถูกปฏิเสธ จนสภาทนายความต้องออกแถลงการณ์เพื่อขอความคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลัก มนุษยธรรมแก่ทุกคนโดยเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสัญชาติ เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือสถานะทางกฎหมาย ซึ่งมีหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญา อนุสัญญาระหว่างประเทศจำนวนมาที่ไทยลงนาม และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ปี 2550 ให้การรับรอง ด้วยเห็นว่า แรงงานต่างด้าวเป็นกลไกที่สำคัญในการร่วมขับเคลื่อนระบบ เศรษฐกิจของประเทศไทย ควรที่จะได้รับการยอมรับและปฏิบัติเสมือนว่าเป็นคนในสังคมไทยด้วย
ตำรวจฉวยโอกาสซ้ำเติม รีดไถเงินแรงงานด่างด้าว
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ เปิดเผยว่า แรงงานข้ามชาติซึ่งประสบภัยน้ำท่วม นอกจากมีส่วนหนึ่งที่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือแล้ว ยังได้รับการร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติ ซึ่งไม่ได้ทำงานเพราะโรงงานถูกน้ำท่วม อพยพจากพื้นที่น้ำท่วมไปพักอาศัยอยู่กับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนๆในพื้นที่อื่นนอกพื้นที่จังหวัดที่ทำงาน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมข้อหาออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีเอกสารประจำตัวมาแสดง ทำงานโดยไม่ได้เปลี่ยนย้ายงานย้ายนายจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่ได้ใช้วิจารณญานว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ผู้ประสบภัยทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือแรงงานต่างด้าว ต่างต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวย่อมหาที่พึ่งพิงได้ยากกว่าคนไทย จึงจำเป็นต้องออกจากพื้นที่ทำงานโดยไม่เจตนาละเมิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดไถ เพื่อแลกกับการปล่อยตัวไป ไม่ดำเนินคดี ดังที่นายแอนดี้ ฮอลล์ ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ, สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ให้คำปรึกษา, มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ได้เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษ ในเว็ปไซต์ประชาไท ซึ่งได้ทำการตรวจสอบแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ตามที่ได้แปลเป็นภาษาไทย ดังนี้
วันที่ 25 ตุลาคม 2554 โดย ประชาไท
แอนดี้ ฮอลล์ (Andy Hall)
แรงงานข้ามชาติชายชาวพม่า (หนึ่งคนในจำนวน 3 คน) อายุ 27 ปี ถูกตำรวจไทยจับขณะหนีภัยน้ำท่วม โดย 2 เดือนก่อนหน้านี้ แรงงานคนดังกล่าวกับภริยาทำงานที่โรงงานผลิตอลูมิเนียมแห่งหนึ่งในรังสิต จังหวัดปทุมธานี แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติและน้ำในจังหวัดท่วมสูงขึ้นถึงระดับอก ในวันที่ 12 ตุลาคม 2554 โรงงานจึงประกาศปิดอย่างเป็นทางการ น้ำประปาและไฟฟ้าถูกตัดเนื่องจากน้ำทะลักเข้ามาในโรงงานและสถานที่ใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุเพราะแรงงานข้ามชาติในโรงงานดังกล่าวไม่ได้รับความช่วยเหลือ พวกเขาจึงติดต่อองค์กรพัฒนาเอกชนพม่าซึ่งช่วยนำแรงงานข้ามชาติเหยื่อน้ำท่วม 19 คนทั้งกลุ่มโดยสารออกมาโดยรถตู้ 2 คัน และพาไปยังศูนย์พักพิงฉุกเฉินในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2554 ก่อนที่แรงงานข้ามชาติผู้นี้จะออกจากศูนย์พักพิงฉุกเฉินในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาต้องการขอหนังสือรับรองจากเจ้าหน้าที่รัฐที่จะรับรองไม่ให้เหยื่อน้ำท่วมแรงงานข้ามชาติถูกจับแบบเดียวกับที่เพื่อนๆ ของเขาได้รับ
ภริยาของเขาไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือรับรองเนื่องจากถือหนังสือเดินทางชั่วคราว แต่การที่เขาพูดภาษาไทยไม่ได้ทำให้เขาต้องให้ภริยาเป็นผู้อธิบายเพื่อขอรับหนังสือรับรองในนามของเขา โชคร้าย อุปสรรคทางด้านภาษาทำให้เขาไม่ได้รับหนังสือรับรองเพราะไม่สามารถอธิบายให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเข้าใจได้ ประกอบกับในเวลาต่อมา พวกเขาได้ข่าวว่าศูนย์พักพิงธรรมศาสตร์กำลังจะปิดในไม่ช้า จึงเดินทางออกจากศูนย์พักพิงฯ ไปสถานีขนส่งหมอชิต ในวันที่ 22 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 16.00 น. ทั้งๆ ที่ไม่มีหนังสือรับรอง
ทั้ง 5คน ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหน จึงนอนค้างบนสนามหญ้าในบริเวณสถานีขนส่ง เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็น วันที่ 23 ตุลาคม 2554 พวกเขาเข้าไปในสถานีขนส่งหมอชิต เตรียมตัวที่จะซื้อบัตรโดยสารไปชายแดนเพื่อที่จะกลับบ้าน ขณะนั้น เวลาประมาณ 10.00 น. ตำรวจเข้ามาในสถานีขนส่งและขอตรวจบัตรประจำตัว ในกลุ่มนี้ มี 3 คนได้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว และอีก 2 คนที่เหลือได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว ตำรวจปล่อยตัว 2 คนหลังนี้ และจับกุม 3 คนแรกในข้อหาเดินทางข้ามเขตจังหวัดปทุมธานีโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากใบอนุญาตทำงานไม่ได้อนุญาตสำหรับเขตจังหวัดอื่น ภริยาจึงโทรศัพท์หาองค์กรพัฒนาเอกชนพม่าเพื่อขอความช่วยเหลือให้แก่สามีและเพื่อนอีก 2 คน เธอกล่าวว่าไม่รู้ว่าตำรวจนำสามีไปที่ใด และจากคำบอกกล่าวของภริยา ถ้าตำรวจผลักดันพวกเขาไปทางชายแดนไทย-พม่า สามีซึ่งไม่ทราบขั้นตอนการข้ามแดน อาจจะไปเจอกับด่านตรวจของทหารกลุ่ม DKBA เธอจึงเป็นห่วงความปลอดภัยของสามีอย่างมากและตัดสินใจซื้อบัตรโดยสารไปชายแดนเพื่อที่จะเดินทางไปช่วยสามี
อย่างไรก็ตาม องค์กรพัฒนาเอกชนดังกล่าวได้ทำการหารือกับกระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากตำรวจเรียกเงิน 4-5,000 บาท แลกกับการปล่อยตัวแรงงานข้ามชาติทั้งสาม องค์กรพัฒนาเอกชนทราบในภายหลังว่าแรงงานทั้งสามถูกคุมขังที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เมื่อมีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ตำรวจก็บอกว่าเงินก็ไม่อาจช่วยได้แล้วและพวกเขากำลังดำเนินการต่อแรงงานข้ามชาติ “ผิดกฎหมาย” อย่างเป็นทางการ และได้ส่งพวกเขาไปที่เรือนจำใต้สถานีตำรวจเป็นที่เรียบร้อย กระทรวงแรงงานได้แจ้งไปยังเครือข่ายในคืนวานนี้ว่า แรงงานข้ามชาติถูกส่งตัวไปที่สถานกักกันในสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพื่อรอการส่งกลับด้วยข้อหาเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ภริยาไม่มีญาติในแม่สอดหรือแม้ในเมียวดีและเธอก็ได้แต่รอในขนส่งหมอชิต ล่าสุดเธอมีเงินในกระเป๋าเพียงแค่ 200 บาทเพราะเสียเงินซื้อตั๋วโดยสารไป 600 บาท
เธอกล่าวว่า “ฉันเป็นห่วงสามีมาก ฉันต้องช่วยชีวิตสามีให้ได้ ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาถูก DKBA จับที่ชายแดน เขาต้องถูกทารุณ หรือถูกบังคับให้ทำงานหนัก แล้วฉันก็ไม่มีเงินไถ่ตัวเขา” ในเวลาประมาณเที่ยงคืนวานนี้ องค์กรพัฒนาเอกชนพม่าดังกล่าวเดินทางไปรับตัวภริยาออกมาจากสถานีขนส่งหมอชิตและไปส่งที่สถานพักพิงแห่งหนึ่ง ขณะนี้พวกเขากำลังเสาะหาที่อยู่ของสามีแต่ยังไม่ทราบสถานที่ดังกล่าว
ปัจจุบัน ยังไม่พบความแน่ชัดในนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยซึ่งเป็นแรงงานข้ามชาติที่ยังมิได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราวและมีเสรีภาพในการเดินทางอย่างจำกัด ให้สามารถเดินทางกลับประเทศพม่าในเวลาที่เกิดอุทกภัยเช่นนี้ จากรายงานหลายฉบับ พบว่ามีการขูดรีดแรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับประเทศโดยเจ้าหน้าที่และกองกำลังที่ควบคุมชายแดนทั้งสองฝ่าย
สภาทนายความร้องว่าที่ ผบ.ตร.ให้กำชับลูกน้องอย่าหาประโยชน์โดยมิชอบ
จากการร้องเรียนว่ามีแรงงานต่างด้าวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม โดยอาศัยสถานการณ์น้ำท่วม เป็นช่องทางหาเงินโดยมิชอบ ทั้งยังเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมผู้ประสบภัยซึ่งได้รับความเดือร้อนอยู่แล้ว ให้เดือร้อนมากขึ้นไปอีก สภาทนายความ จึงได้ทำหนังสือส่งถึงสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่าหาประโยชน์ดดยมิชอบกับแรงงานต่างด้าว ดังนี้
ที่ สสม. ๘๑๓/ ๒๕๕๔
๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔
เรื่อง การดำเนินทางกฎหมายต่อผู้ประสบอุทกภัยที่เป็นแรงงานข้ามชาติ
เรียน ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สืบเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตอุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลให้มี ผู้ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งราษฎรไทยและแรงงานต่างด้าวที่ต้องอพยพหนีภัยน้ำท่วม ไม่มีที่พักพิง ขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม ต้องตกงาน ไม่มีรายได้สำหรับเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับกลุ่มแรงงานทั้งชาวไทยและแรงงาน ต่างด้าว โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และกรุงเทพมหานคร
คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ได้รับการร้องเรียนจำนวนมากว่า แรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามในพื้นที่ประสบอุทกภัยต้องอพยพหนีน้ำไปพักอาศัยอยู่กับญาติและพื้นที่อื่น ๆ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมข้อหาออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีเอกสารประจำตัวมาแสดง ทำงานโดยไม่ได้เปลี่ยนย้ายงานย้ายนายจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และปัญหาการรีดไถจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมและแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบต่อแรงงานข้ามชาติผู้ประสบอุทกภัย
คณะอนุกรรมการฯ จึงประสานขอความร่วมมือมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ท่านสั่งการไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทุกหน่วยงาน ให้ปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามผู้ประสบภัยในการรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดของการอยู่ร่วมกัน รวมทั้งเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต้องเกื้อกูลดูแลกัน โดยให้ความคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมแก่ทุกคนรวมถึงแรงงานข้ามชาติโดยเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสัญชาติ เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือสถานะทางกฎหมาย ซึ่งมีหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญา อนุสัญญาระหว่างประเทศจำนวนมาที่ไทยลงนาม และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ให้การรับรอง ซึ่งเป็นหลักกฎหมายที่อยู่เหนือกฎหมายคนเข้าเมืองและกฎหมายการทำงานของคนต่างด้าว
คณะอนุกรรมการฯจึงเรียนมาเพื่อพิจารณาสั่งการ และกำชับผู้ใต้บังคับบัญชามิให้แสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบต่อแรงงานข้ามชาติผู้ประสบภัย ขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้
นายสุรพงษ์ กองจันทึก
ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ฯสภาทนายความ
ความช่วยเหลือจากภาครัฐต่อแรงงานข้ามชาติ
สำหรับความช่วยเหลือต่อแรงงานข้ามชาติผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะนี้ กระทรวงแรงงานได้ประสานกับวัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เพื่อใช้โรงเรียนวัดไร่ขิง เป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวให้แรงงานข้ามชาติแล้ว มีแรงงานข้ามชาติประกอบด้วยแรงงานต่างด้าวจากสถานประกอบการที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 204 คน จังหวัด ปทุมธานี 115 คน จังหวัดนนทบุรี 90 คน และจังหวัดสมุทรปราการ 3 คน รวม 412 คน แยกเป็นแรงงานชาวพม่า 179 คน ชาวลาว 123 คน ชาวกัมพูชา 109 คน และชาวเวียดนาม 2 คน โดยทุกคนได้รับการอำนวยความสะดวกด้านที่พักและอาหาร ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น จนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลาย และได้รับการผ่อนผันเรื่องเอกสารแสดงตนซึ่งอาจสูญหายจากเหตุน้ำท่วมด้วย
ภาพจาก INTERNET