- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- แฉผลักดันกะเหรี่ยงแก่งกระจานไร้มนุษยธรรม เตรียมฟ้องศาลปกครอง
แฉผลักดันกะเหรี่ยงแก่งกระจานไร้มนุษยธรรม เตรียมฟ้องศาลปกครอง
นักกฎหมาย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ เดินทางลงพื้นที่แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม ที่ผ่านมา ติดตามความคืบหน้ากรณีอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ผลักดันชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงบริเวณต้นน้ำบางกลอยออกจากป่าแก่งกระจาน ด้วยวิธีการรุนแรงถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งข้าวเมื่อหลายเดือนก่อน จนถึงวันนี้ยังไม่มีหน่วยงานของรัฐให้ความช่วยเหลือ ชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดัน ทั้งคนแก่และเด็กอดอยากไม่มีข้าวจะกิน สภาทนายความเตรียมฟ้องศาลปกครอง ทั้งคดีแพ่งและการกระทำผิดของหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
นายดุสิต สุวรรณวงศ์ นักกฎหมายในคณะทำงานชุดนี้ กล่าวว่า จากการเดินทางลงพื้นที่ ได้พบกับกลุ่มชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดันออกจากป่าแก่งกระจานจากบ้านบางกลอยบน มาอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยล่างประมาณ 20 ครอบครัว อยู่ในสภาพที่ยากลำบากเพราะไม่มีอาหารจะกินพอเพียง ทั้งยังไม่มีหน่วยงานของรัฐให้ความช่วยเหลือ แม้แต่ความช่วยเหลือจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักเจ้าของโครงการผลักดันกะเหรี่ยงออกจากป่า หลังจากผลักดันแล้วก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ
“คณะทำงานได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง ไปมอบให้ชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงจำนวนหนึ่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ทุกวันนี้คนเหล่านี้ไม่มีงานทำ บ้านและยุ้งข้าวก็ถูกเผาทิ้งไปหมดแล้ว ชาวบ้านบอกว่ามีหน่วยงานทหารนำอาหารมาให้บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่พอเพียง หน่วยงานอื่นไม่เคยให้ความช่วยเหลือ อุทยานฯก็ไม่เคยช่วยเหลือ ทั้งๆที่เป็นผู้ผลักดันคนเหล่านี้ออกมา” นายดุสิต กล่าว
การเดินทางลงพื้นที่ของนักกฎหมาย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯสภาทนายความ ครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งที่ 3 หลังจากการลงพื้นที่ 2 ครั้งแรก นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะกรรมการฯ นำทีมลงพื้นที่ทั้งที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งมีชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดันอีกจำนวนหนึ่ง ไปอาศัยกับญาติพี่น้อง การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการทำงานต่อเนื่อง หลังจากชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานมายัง สภาทนายความว่าแผนปฏิบติการผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกจากป่าแก่งกระจานซึ่งอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเริ่มต้นมาตั้งแต่กลางปี 2553 เจ้าหน้าที่อุทยานฯกับหน่วยงานอื่นใช้วิธีการรุนแรง เพื่อผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกไปจากป่า อันเป็นการกระทำอันผิดกฎหมาย และไร้มนุษยธรรม
การตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาพยานหลักฐานในเบื้องต้นในการตวจสอบข้อเท็จจริง 2 ครั้งที่ผ่านมา พบว่าตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ได้มีการผลักดันชาวกะเหรี่ยง ด้วยวิธีการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยง ระหว่างวันที่ 5-9 พ.ค.2554 ยุ้งข้าวของชาวกะเหรี่ยงถูกทำลาย 98 หลัง วันที่ 23-26 มิ.ย.เผาอีก 21 หลังใน 14 จุด ทั้งยังมีการยึดทรัพย์สินต่างๆไปด้วย เช่นมีด ขวาน เคียว สร้อยลูกปัด กำไรข้อมือ รวมทั้งเครื่องดนตรีของชาวกะเหรี่ยง
นายดุสิต สุวรรณวงศ์ กล่าวว่า ชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดันเป็นชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน อาศัยอยู่กันมานานนับร้อยปีแล้ว ไม่ได้อพยพมาจากประเทศอื่น มีสิทธิอาศัยในป่าแก่งกระจานได้ เนื่องจากตามกฎหมายถือว่าอยู่มาก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ ปี 2504 การผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกจากป่าจึงขัดต่อกฎหมาย รวมทั้งรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงจะฟ้องศาลปกครองทั้งการฟ้องทางแพ่งและฟ้องประเด็นการกระทำผิดกฎหมายของหน่วยงานของรัฐต่อชาวบ้าน
“ผู้นำชาวกะเหรี่ยงได้พูดคุยกับชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้แล้ว และมอบหมายให้สภาทนายความเป็นตัวแทนฟ้องร้อง โดยในเบื้องต้นได้มีการประชุมคณะทำงานฯ มอบหมายให้ผมเป็นผู้ร่างคำฟ้อง การฟ้องจะฟ้องศาลปกครองเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สิน เพื่อผลักดันชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้ซึ่งถือว่าเป็นชาวไทยภูเขาให้ออกจากป่า และฟ้องการประเด็นการกระทำผิดของหน่วยงานของรัฐต่อชาวบ้าน กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาศาลปกครอง ในประเด็นการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว อันเป็นการกระทำโดยมิชอบ ใช้อำนาจหน้าที่ ดุลยพินิจตามอำเภอใจ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นจำเลยที่ 1 กรมอุทยาน ฯ เป็นจำเลยที่ 2 และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นจำเลยที่ 3 นอกจากนี้ มีประเด็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 66 และ 67 เรื่องสิทธิชุมชนด้วย” นายดุสิต กล่าว
ความเป็นมาของ แผนอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ตามรายละเอียดของโครงการที่เป็นเอกสารทางราชการ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้สำรวจสภาพป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามโครงการดูแลรักษาป่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เนื้อที่กว่า 2 ล้านไร่ พบว่ามีผู้บุกรุกเป็นชนกลุ่มน้อยจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าไปอาศัยในป่าเป็นจำนวนมาก มีการบุกรุก แผ้วถางจนสภาพป่าเสียหายหลายแห่ง จึงได้จัดทำโครงการแผนอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากป่าแก่งกระจาน เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2553 โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นเข้าร่วมในแผนปฏิบัติการดังกล่าวกว่า 100 คน ด้วยเหตุผลว่าชนกลุ่มน้อยบุกรุกทำไร่เลื่อนลอยทำลายป่า น่าสงสัยว่าว่าปลูกพืชผลการเกษตรเพื่อส่งเป็นเสบียงให้กองกำลังติดอาวุธและผลิตยาเสพติด
แต่ภายหลังจากชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดันร้องเรียนไปยังสภาทนายความ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พบว่าการปฏิบัติการตามแผนดังกล่าว มีการใช้ความรุนแรงถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงเพื่อผลักดันออกจากป่า โดยไม่มีหน่วยงานของรัฐให้การรองรับและให้ความช่วยเหลือ และชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้ก็ถือเป็นคนไทย จะผลักดันออกนอกประเทศไม่ได้ และส่วนหนึ่งก็อยู่ระหว่างการขอมีชื่อในทะเบียนราษฎร์ โดยที่ผ่านมาในอดีต ความยากลำบากในการคมนาคม การติดต่อสื่อสารกระทำได้ไม่สะดวก ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีปัญหาในการติดต่อกับชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้เพื่อออกหลักฐานแสดงความเป็นคนไทย
“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ ซึ่งมีนายสุรพงษ์ กองจันทึก เป็นประธาน ได้เรียกประชุมคณะทำงานแล้ว เพื่อสรุปผลการทำงานในช่วงที่ผ่านมา จากนั้นก็จะเข้าขั้นตอนการฟ้องต่อศาลปกครอง” นายดุสิต กล่าว