- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- "ค่าแรง 300 -จัดการน้ำ " ฝันที่จะเป็นจริงในปี '55
"ค่าแรง 300 -จัดการน้ำ " ฝันที่จะเป็นจริงในปี '55
ตลอดปี 2554 มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายไม่เว้นแต่ละวัน จนปัญหาสาธารณะหลายเรื่องได้ถูกยกระดับกลายเป็นประเด็นเชิงนโยบาย ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สัมภาษณ์นักวิชาการ ซึ่งเกาะติดนโยบายสาธารณะ เพื่อให้พาเราย้อนกลับไปดู มีนโยบายสาธารณะอะไรบ้าง ที่ “โดดเด่น”ในรอบปี และพร้อมจะส่งต่อในปี 2555
“นโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า” มาแรงที่สุด ในสายตา ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ (นสธ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พร้อมอธิบายเหตุผล เฉพาะเรื่องที่ดิน… ปัญหานี้ได้ถูกหมักหมมมานาน ไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต้องสะสาง และควรทำให้เคลียร์ว่า ใครควรจะได้หรือไม่ได้สิทธิ์ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะต้องทำในปีต่อๆ ไปด้วย เพื่อให้มีความชัดเจนเช่น นายทุน ถ้าเขาได้สิทธิ์มาโดยมิชอบ ก็ต้องสูญเสียสิทธิ์ไป ส่วนประชาชนที่อยู่มาก่อน หรือประชาชนที่มาอยู่ที่หลังก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดหาที่ทำกินให้
และที่เด่นไปในทางที่น่าตกใจ นโยบายเรื่องน้ำ ผอ.นสธ. บอกว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีนโยบายสาธารณะเรื่องน้ำท่วม มีแต่รับมือน้ำท่วม ไม่มีการเตรียมการน้ำท่วม พร้อมยกตัวอย่าง พ.ร.บ.บรรเทาสาธารณะภัยฯ ก็เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อรับมือ ขณะที่ นโยบายสาธารณะเดิมๆ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดิน เราก็ไม่บังคับใช้ให้ดี ไม่เคยมีใครสนใจ
“ปัญหาของรัฐบาล คือไม่เคยสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งๆ ที่ทุกอย่างที่ทำให้รัฐบาลชะงัก เศรษฐกิจชะงัก ก็ล้วนเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น ทั้งกรณีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในที่สุดเมื่อโครงการถูกหยุด และรัฐบาลก็มาตื่นเต้นหาว่า เป็นเพราะนักสิ่งแวดล้อมเข้าไปยุ่ง ซึ่งความจริงรัฐบาลควรยอมรับ สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องเดียวกับเศรษฐกิจ หรืออย่างครั้งนี้ น้ำท่วม ก็เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ ที่รัฐบาลก็ไม่ได้มีการจัดการดูแลที่ดีพอ”
สำหรับนโยบายสาธารณะที่ควรรีบออกมาในปี 2555 อาจารย์มิ่งสรรพ์ มองไปที่ “ภาษีน้ำท่วม” เพื่อเก็บเงินจากคนกรุงเทพฯ ไปให้คนปทุมธานี คนเมืองนนท์ ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องโยงไปกับภาษีที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างด้วย ที่ยังไม่ผ่านและได้หลุดไปพร้อมกับรัฐบาลชุดที่แล้ว
“ภาษีที่ดินฯ ภาษีน้ำท่วม เวลาเก็บจะโยงกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่ที่ต้องทำในปีหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะยอมทำหรือเปล่า” ผอ.นสธ.กล่าวอย่างไม่มั่นใจ ด้วยยังไม่รู้ว่า รัฐบาลจะหาเงินจากไหน ยิ่งดูจากหลายๆ นโยบายด้วยแล้ว มีแต่ให้ ไล่แจก กอรปกับ นโยบายด้านภาษี ก็มีลดๆๆ ทุกอย่าง ซึ่งยังเป็นปัญหาใหญ่
ก่อนจะทิ้งท้าย นโยบายด้านการเมือง เป็นอะไรที่ต้องเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด
"ถ้าอยากจะรู้ว่า นโยบายสาธารณะที่ส่งผลให้ประเทศรอดไม่รอด อยู่ที่การเมือง โดยเฉพาะเศรษฐกิจถูกการเมืองทำลายได้ง่ายมาก พอการเมืองไม่ดีปุ๊บ นักลงทุนต่างชาติ นักท่องเที่ยวก็ไม่มา ฯลฯ จะเห็นว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเมือง ดังนั้น ควรจะมีการปลูกข้าวคุณธรรมให้นักการเมืองกิน"
ปี'55แห่งการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างแบบหักดิบ ?
หันมาดูนโยบายด้านแรงงาน ปี 2554 โดยเฉพาะการขึ้นค่าแรง 300 บาท กันบ้าง
ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เลือกให้เป็นนโยบายที่เด่นชัด และเป็นเรื่องใหญ่สุด เพราะไปเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างตลาดแรงงานและรายได้ของแรงงาน ที่มีไม่ต่ำกว่า 3.8 ล้านคน
“นโยบาย 300 บาท นอกจากสร้างภาระให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานแบบเข้มข้นแล้ว อุตสาหกรรมที่มีกำไรน้อย หรือบางส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ เป็นอันต้องล้มเลิกกิจการไป ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลเองยังต้องแบกรับภาระจากนโยบายนี้เช่นกัน เพราะตัวคูณของฐานเงินประกันสังคมจะสูงขึ้นตาม นั่นคือเงินงบประมาณที่รัฐต้องจ่ายเพิ่ม”
ในส่วนของลูกจ้าง มีความสุขมากกับนโยบายนี้ เพราะค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น 40% ระยะยาวเป็นผลดี แรงงานจะมีเงินออมและเงินเก็บไว้ใช้ตอนชราภาพ แต่คนที่ไม่มีความสุขก็คือนายจ้าง
เมื่อขอให้มองข้ามช็อตไปปี 2555 ดร.ยงยุทธ บอกว่า ยังไม่ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างแบบหักดิบเสียทีเดียว เพราะหักทีละขา ไม่ใช่หักทีเดียวสองขา“
ในอดีตเราขึ้นค่าจ้างให้เฉพาะให้แรงงาน “พออยู่ได้” เท่านั้น ไม่ใช่ “ค่าจ้างที่ยุติธรรม” นโยบายค่าแรง 300 บาท จึงถือเป็นนโยบายการลดช่องว่าง เป็นการแบ่งปันจากนายจ้างและผู้ประกอบการ และเป็นการลดความขัดแย้งในสังคมได้แรงงานมักมองว่านายจ้างบอกขาดทุน แต่ก็ยังอยู่อย่างสุขสบาย มันจึงเกิดช่องว่างในความเป็นอยู่ ทำให้ลูกหลานไม่ได้เข้าโรงเรียน ไม่มีการเสริมความรู้ให้สูงขึ้น ไม่ได้เรียนหนังสือ เลยต้องมาทำงานเป็นกรรมกร ซึ่งก็ไม่รู้จะโทษใครได้ เพราะเป็นความผิดของหลายฝ่าย”
ส่วนนโยบายผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ดร.ยงยุทธ แสดงความเป็นห่วง ที่นอกจากจะเป็นภาระต่อทางรัฐบาลโดยตรงแล้ว ผู้ที่จบปริญญาตรี ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขว่างงานแล้วเกือบแสนคนนั้น ยิ่งมีโอกาสตกงานมากขึ้น
“ถือเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า พ่อแม่ต้องกู้เงินส่งเสียให้ลูกมาเรียนหนังสือหลายหมื่นบาท แต่สุดท้ายก็ว่างงาน ต้นเหตุมาจากที่เราเร่งผลิตมากเกินไปบ้าปริญญามากเกินไป จนปริญญาท่วมตลาดแรงงาน จนไม่รู้จะระบายไปทางไหน” นักวิชาการทีดีอาร์ไอ วิเคราะห์ และบอกนโยบายนี้ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เพราะทำให้ข้าราชการเท่าเทียมกับเอกชน ลดปัญหาสมองไหลได้ เหลือคนดีๆไว้ทำงานราชการ
{youtubejw}ghTKS39cKx8{/youtubejw}