คลี่ปมสหกรณ์จุฬาฯโดน‘คลองจั่น’ เบี้ยวเงินพันล.! ก่อนถูกร้องดีเอสไอสอบ

เขียนวันที่

วันพฤหัสบดี ที่ 11 สิงหาคม 2559 เวลา 12:55 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | ข่าวบุคคลดัง | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

สหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำกัด | สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

“…ในช่วงที่นายศุภชัย ทำหนังสือมาขอเปลี่ยนแปลงสัญญาการปล่อยกู้จากเดิม 1 พันล้านบาท เป็น 1.1 พันล้านบาท โดยคณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 อนุมัติให้ถึง 1,431 ล้านบาทนั้น อยู่ในช่วงที่สหกรณ์คลองจั่นฯ และนายศุภชัย กำลังตกเป็นข่าวว่า ได้ยักยอกเงินของสหกรณ์คลองจั่นฯไปกว่าหมื่นล้านบาท แล้วเหตุใดจึงอนุมัติการปล่อยกู้อีก…”

PIC chulaklongchun 11 8 59 1

กรณีสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการฟ้องแพ่งต่อสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น วงเงินกว่า 144 ล้านบาท เพื่อเรียกเงินต้น+ดอกเบี้ยเงินฝากคืน ภายหลังถูก ‘เบี้ยว’ ไม่ชำระคืนตามกำหนด

นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันสหกรณ์คลองจั่นฯ ที่อยู่ระหว่างเข้าแผนฟื้นฟูกิจการตามคำพิพากษาของศาลล้มละลาย ยังต้องชำระหนี้เงินกู้คืนแก่สหกรณ์จุฬาฯด้วย วงเงินกว่า 1,431 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 3 ภายในเวลา 12 ปี 6 เดือน ซึ่งปัจจุบันทยอยชำระหนี้อยู่นั้น

(อ่านประกอบ : ขีดเส้น 7 วันแจงปมปล่อยกู้คลองจั่น! ประชุมสหกรณ์จุฬาฯเดือดวอล์คเอ้าท์เพียบ, ปธ.สหกรณ์จุฬาฯแถลงพิเศษแจงสารพัดข้อสงสัยปล่อยกู้-ฝากเงิน‘คลองจั่น-พวก’)

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในการทำธุรกรรมทางการเงินกับสหกรณ์คลองจั่นฯ ได้ถูกสมาชิกบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม และความไม่ชอบมาพากลในการปล่อยเงินกู้+เงินฝากดังกล่าว ?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปข้อเท็จจริง ให้สาธารณชนรับทราบ ดังนี้

สำหรับกรณีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การฝากเงิน และการปล่อยกู้ ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่

เมื่อปี 2551 คณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 (รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ เป็นประธาน รศ.ดร.สวัสดิ์ แสงบางปลา เป็นที่ปรึกษา) อนุมัติการฝากเงินแก่สหกรณ์คลองจั่นฯ งวดแรก วงเงิน 200 ล้านบาท และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก่อนที่จะฝากต่ออีก 9 ครั้ง รวม 650 ล้านบาท และมีการถอน-ฝาก จนกระทั่งเหลือในปี 2553 450 ล้านบาท (ปัจจุบันในปี 2559 เหลือ 144 ล้านบาท และสหกรณ์จุฬาฯ ระบุในงบการเงินว่า เป็นหนี้ที่เผื่อจะสูญ)

เมื่อปลายปี 2553 คณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 อนุมัติให้เงินกู้แค่สหกรณ์คลองจั่นฯ ครั้งแรก 1 พันล้านบาท โดยต้องชำระคืน 180 งวดเดือน มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยประเมินราคา 1,431 ล้านบาท

ต่อมาเดือนก.พ. 2556 กรมตรวจบัญชีสหกรณ์มีหนังสือถึงนายศุภชัย ศรีศุภอักษร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานสหกรณ์คลองจั่นฯ เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในการทำธุรกรรม โดยพบว่า นายศุภชัยยังไม่ส่งคืนเงินรองจ่าย 3,298 ล้านบาท และให้เงินกู้แก่สมาชิกสมทบที่ขัดต่อกฎหมาย จำนวน 11,864 ล้านบาท

คล้อยหลังไม่กี่วันจากการเผยแพร่ข่าวดังกล่าวตามสื่อมวลชน คณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 ยังมีมติฝากเงินกับสหกรณ์คลองจั่นฯต่ออีก 1 ปี วงเงิน 450 ล้านบาท (ครบกำหนดปี 2557) และมีมติให้ยกเลิกการค้ำประกันเงินฝากกับสหกรณ์อื่น

ต่อมาเดือน มี.ค. 2556 มีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินการกับนายศุภชัย ฐานยักยอกทรัพย์สหกรณ์คลองจั่นฯกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายภายใน และทำให้สหกรณ์จุฬาฯ ไม่สามารถถอนเงินฝากจำนวน 450 ล้านบาทออกมาได้

หลังจากนั้นเดือน พ.ค. 2556 นายศุภชัย ได้รับเลือกเป็นประธานสหกรณ์คลองจั่นฯอีกครั้ง ทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงสัญญาการกู้เงินจากเดิม 1 พันล้านบาท (ใช้คืนแล้ว 150 ล้านบาท เหลือหนี้อยู่ 850 ล้านบาท) เป็น 1.1 พันล้านบาท และขอใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันเดิม แต่คราวนี้ขาดเอกสารงบการเงินที่ต้องนำมาแสดง เพื่อให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้

เดือน มิ.ย. 2556 คณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงสัญญาดังกล่าว และอนุมัติให้เงินกู้เป็น 1,431 ล้านบาท (จากที่สหกรณ์คลองจั่นฯขอกู้เพิ่ม 1.1 พันล้านบาท) ซึ่งเท่ากับ 100% ของราคาประเมินหลักทรัพย์ค้ำประกัน ผ่อนชำระ 180 งวดเดือน
อธิบายให้ง่ายขึ้นคือ สหกรณ์คลองจั่นฯ กู้ครั้งแรก 1 พันล้านบาท จ่ายคืนแล้ว 150 ล้านบาท เหลือหนี้ 850 ล้านบาท แต่มาขอเปลี่ยนแปลงสัญญากู้ใหม่จากเดิม 1 พันล้านบาท เป็น 1.1 พันล้านบาท ทว่าสหกรณ์จุฬาฯ อนุมัติให้ 1,431 ล้านบาท

หลังจากนั้นระหว่างเดือน ก.ค.-ก.ย. 2556 สหกรณ์คลองจั่นฯ ต้องชำระเงินต้น+ดอกเบี้ยให้แก่สหกรณ์จุฬาฯ รวมประมาณ 43 ล้านบาท แต่กลับชำระจริงแค่ 3.5 ล้านบาท

กระทั่งเดือน ต.ค. 2556 นายทะเบียนสหกรณ์ สั่งปลดนายศุภชัย และคณะกรรมการสหกรณ์คลองจั่นฯ ชุดดังกล่าวให้พ้นจากตำแหน่งทั้งหมด และในเดือนนี้สหกรณ์คลองจั่นฯ ไม่ได้ชำระเงินให้กับสหกรณ์จุฬาฯด้วย

ล่วงเลยระยะเวลามาถึงต้นปี 2557 สหกรณ์จุฬาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการศึกษาการทำธุรกรรมระหว่างสหกรณ์จุฬาฯ กับสหกรณ์คลองจั่นฯ โดยคณะกรรมการชุดนี้ได้มีหนังสือแจ้งถึง รศ.ดร.สวัสดิ์ ประธานสหกรณ์จุฬาฯ ดำเนินการทางกฏหมายฟ้องเรียกเงินคืน โดยบังคับเอากับทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันไว้

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการชุดดังกล่าว เดินทางไปตรวจสอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สหกรณ์คลองจั่นฯ นำมาจำนองไว้ พบว่า ที่ดินค้ำประกันบางส่วนตกเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำให้พื้นที่ส่วนที่ติดกับถนนศรีนครินทร์ตามโฉนด เหลือน้อย ดังนั้นจึงมีมติให้สหกรณ์คลองจั่นฯ ประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ และต้องใช้บริษัทประเมินมูลค่าที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น

แต่สหกรณ์คลองจั่นฯ ทำหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่สามารถทำรังวัดสอบเขตและประเมินราคาหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ เนื่องจากขาดสภาพคล่อง

กระทั่งเดือน ส.ค. 2557 สหกรณ์จุฬาฯ ได้ดำเนินการฟ้องแพ่งเรียกหนี้คืนกับสหกรณ์คลองจั่นฯ ซึ่งปัจจุบันในปี 2559 ศาลล้มละลายได้พิพากษาให้สหกรณ์คลองจั่นฯ เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการแล้ว

เงื่อนปมสำคัญในกรณีนี้ตามที่มีสมาชิกสหกรณ์ฯบางส่วนไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้เข้าไปตรวจสอบคือ ในการปล่อยกู้ครั้งแรก 1 พันล้านบาท คณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 ทำไมถึงไม่เปลี่ยนเงินฝากที่อยู่กับสหกรณ์คลองจั่นฯก่อนหน้านี้ มาเป็นเงินให้กู้ด้วย แต่กลับอนุมัติเงินให้กู้ 1 พันล้านบาท ซึ่งประเมินตามหลักทรัพย์ค้ำประกัน

อีกประการหนึ่งคือ ในช่วงที่นายศุภชัย ทำหนังสือมาขอเปลี่ยนแปลงสัญญาการปล่อยกู้จากเดิม 1 พันล้านบาท เป็น 1.1 พันล้านบาท โดยคณะกรรมการสหกรณ์จุฬาฯ ชุดที่ 53 อนุมัติให้ถึง 1,431 ล้านบาทนั้น อยู่ในช่วงที่สหกรณ์คลองจั่นฯ และนายศุภชัย กำลังตกเป็นข่าวว่า ได้ยักยอกเงินของสหกรณ์คลองจั่นฯไปกว่าหมื่นล้านบาท แล้วเหตุใดจึงอนุมัติการปล่อยกู้อีก

ที่น่าสนใจคือ ในการปล่อยกู้ครั้งแรก 1 พันล้านบาท และมีการนำที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างมาค้ำประกันไว้ สหกรณ์จุฬาฯ ได้ตรวจสอบหรือไม่ว่า หลักทรัพย์ค้ำประกันดังกล่าว สามารถเชื่อถือได้ และมีมูลค่าตามความเป็นจริง ?

ทั้งหมดคือเงื่อนปม-ข้อสังเกตในการปล่อยกู้-ฝากเงินแก่สหกรณ์คลองจั่นฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอแล้ว !

อ่านประกอบ :