- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ย้อนรอย “Conversations with Thaksin” - "ทักษิณ" พูดอะไรบ้างทำลายตัวเอง?
ย้อนรอย “Conversations with Thaksin” - "ทักษิณ" พูดอะไรบ้างทำลายตัวเอง?
“...พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้กล่าวต่อสาธารณชนว่าการบริหารงานของรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากเนื่องจากถูกแทรกแซงด้วยบุคคลที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ คำพูดดังกล่าวได้สร้างความโกรธเคืองให้แก่ พล.อ.เปรมเป็นอย่างมาก..”
ในการขึ้นกล่าวปราศรัย บนเวทีปทุมวัน ช่วงค่ำวันที่ 26 มกราคม 2557 นี้
ดร. สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ระบุชัดเจนว่า จะนำข้อมูลในหนังสือ Conversations with Thaksin ที่ตนเองแปลมาไม่รู้กี่ครั้งของ Tom Plate มาอ่านให้ฟัง
พร้อมระบุข้อมูลเบื้องต้นว่า ในหนังสือเล่มนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความร่วมมือเต็มที่ตลอด 2 ปีกับผู้เขียน และมีหลายเรื่องมากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดแล้วทำลายตัวเอง
คำถามที่น่าสนใจ คือ มีเนื้อหาอะไรบ้าง ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือฉบับนี้ แล้ว ทำลายตัวเอง ในมุมมองของ ดร.สมเกียรติ ?
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ทำการแกะรอยข้อมูลในหนังสือ Conversation with Thaksin ฉบับของ “Tom Plate” เล่มนี้ มานำเสนอต่อสาธารณชนไว้จำนวนหลายตอนเช่นกัน
ทั้งนี้ TOM PLATE ผู้เขียนเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกัน เกิดในนิวยอร์ค มีประสบการณ์ในการทำงานหลายประเทศ เคยเป็นอาจารย์ที่ University of California เป็นผู้เขียนหนังสือ 8 เล่ม อาทิ Conversations with Lee Kuan Yew (2011) Conversations with Mahathir Mohamad (2011) เป็นต้น
โดยเนื้อหาในหนังสือ Conversations with Thaksin เล่มนี้ ระบุว่าสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณที่บ้านพักในเอมิเรตส์ฮิลล์ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ เมื่อเดือนธันวาคม 2553 และตีพิมพ์ปี 2011
มีทั้งหมด 14 บท เนื้อหาโดยรวมเป็นการกล่าวถึงชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแง่มุมต่างๆ อาทิ เหตุการณ์ในช่วงก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และหลังการรัฐประการที่เดินทางไปทั่วโลกด้วยหนังสือเดินทาง 80 เล่ม
ที่น่าสนใจเนื้อหาส่วนหนึ่งในบท “Sister ACT” กล่าวถึงการกลับบ้านของ พ.ต.ท.ทักษิณว่าขึ้นอยู่กับอำนาจที่น่าประหลาดใจในความเป็นผู้หญิงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่มีวัยเพียง 40 ปีเศษ
ในหนังสือได้อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงคุณสมบัติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าเคยเป็นผู้บริหารของกลุ่มชินคอร์ป มีความเข้าใจทุกชนชั้นในสังคม เป็นสุภาพสตรีที่มีความนุ่มนวล และทันสมัยกว่านางมาร์กาเรต แธตเชอร์ (อดีตผู้นำอังกฤษ )
หนังสืออ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นหัวหน้ากองเชียร์นางยิ่งลักษณ์การรับตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีสัมภาระทางการเมือง เป็นสุภาพสตรีสามารถพูดคุยกับทุกคนได้ง่ายกว่าผู้ชาย ทุกคนในครอบครัวชินวัตรให้การยอมรับ
หนังสือเล่มนี้อ้างคำสัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอัจฉริยะ มากด้วยความคิดสร้างสรรค์ แต่บางครั้งก็คิดเร็วเกินไป บางครั้งทำและพูดตรงๆ “แต่เดี๋ยวนี้เขาก็รู้ตัวเขาดี”
หนังสือยังอ้างคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์สรุปว่า ประชาชนจำนวนมากเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ประชาชนรู้สึกทรมาน ประชาชนต้องการเขา
เมื่อถามว่า เมื่อไหร่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับบ้าน หนังสือได้ อ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า “ถ้าคุณตัดสินใจเกี่ยวกับฉัน อย่าทำเพื่อฉัน ขอให้ทำเพื่อประเทศชาติ” (มีภาพ พ.ต.ท.ทักษิณกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่บ้านในเมืองดูไบ เดือน พฤษภาคม 2554)
ผู้เขียนระบุว่า ณ ตอนนี้ดูเหมือนว่าอนาคตของประเทศไทยอยู่อุ้งมือแห่งความประสงค์และการกำหนดของผู้หญิง 2 คน (แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร)
(อ่านเนื้อหาส่วนนี้ประกอบ ในเรื่อง ปริศนา!“ผู้หญิง 2 คน”กำหนดอนาคตประเทศ-พาทักษิณกลับบ้าน?)
ในหนังสือเล่มนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุว่า หลังจากถูกรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ได้เดินทางออกจากนิวยอร์ก สหรัฐ ไปพำนักอยู่กับน้องชายที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 3-4 เดือน
พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าตอนนั้นเขารู้สึกสะเทือนใจและรู้สึกโกรธแต่ก็เก็บงำเอาไว้ข้างใน ในช่วงลำบากไม่อยากยุ่งเกี่ยวติดต่อใครเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน มีเพื่อนเพียงไม่มีคน และปรึกษากับครอบครัวตลอดเวลา ซึ่งคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก็อยู่ด้วย(ขณะยังไม่จดทะเบียนหย่า)
หลังจากนั้นก็ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนเป็นเวลา 6 เดือน
พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าเพื่อนของเขาเป็นคนจีนแปลงสัญชาติเป็นคนไทยเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟ โทร.มาชวนให้ไปอยู่ปักกิ่ง เขาสามารถออกกำลังกาย ตีกอล์ฟและท่องเที่ยวได้ ต่อมาเพื่อนคนดังกล่าวก็พาเขาไปอยู่ดูไบ และได้พบเพื่อนเก่าต่างชาติอีกคนซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า เขาชอบดูไบเพราะรู้สึกเหมือนอยู่ตรงกลางของทุกสิ่งในโลก เป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทาง สามารถเดินทางจากที่นี่ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ทั่วโลก ประกอบกับเพื่อนๆ ครอบครัว ลูกๆ สามารถเดินทางมาเยี่ยมได้โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ และบ้านของเขาก็มีห้องจำนวนมากพอไว้รองรับ
และบอกอีกว่า เท่าที่รู้ดูไบเคยเป็นสถานที่ลี้ภัยของอดีตผู้นำหลายคน อาทิ นายเปอร์เวส มูชาร์ราฟ อดีตผู้นำปากีสถานก็เคยมาอยู่ที่นี่ อีกหลายคน เป็นเหมือนตะวันออกกลางของสวิตเซอร์แลนด์
ในการชีวิตที่ดูไบ เขาใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสารถึง 12 เครื่อง และยังบอกอีกว่าโทรศัพท์บางเครื่องถูกรัฐบาลไทยสะกดรอย และถูกรัฐบาลสหรัฐ (The U.S. government) ติดตามในบางครั้ง (พ.ต.ท.ให้สัมภาษณ์สื่อในปี 2010)
(อ่านเนื้อหาส่วนนี้ประกอบ ในเรื่อง เบื้องหลัง“ทักษิณ”ปักหลักในดูไบ-ปูดถูกสหรัฐสะกดรอย!)
จากการตรวจสอบยังพบว่า ในหนังสือ Conversations with THAKSIN (ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ 2011) ได้กล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงและบทบาทของประธานองคมนตรีในช่วงก่อนและหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ไว้ด้วย
เนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงปูมหลัง บุคลิก และบทบาทของพล.อ.เปรมว่า เป็นคนพูดน้อยในที่สาธารณะ แต่มีความเป็นผู้นำที่เยี่ยมยอด ไม่มีครอบครัว มีภาพลักษณ์มือสะอาด ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 8 ปีโดยไม่ผ่านการเสนอตัวในการเลือกตั้ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า พล.อ.เปรมเป็นบุคคลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา เป็นคนบอกผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีการเมืองที่สำคัญและต้องการให้เขาอยู่นอกประเทศตลอดไป
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้กล่าวต่อสาธารณชนว่าการบริหารงานของรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากเนื่องจากถูกแทรกแซงด้วยบุคคลที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ คำพูดดังกล่าวได้สร้างความโกรธเคืองให้แก่ พล.อ.เปรมเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อกล่าวต่อที่ประชุมสหประชาชาติ
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าได้เข้าเฝ้าฯในช่วงเดือนเมษายน 2549 และจะไม่ขอรับตำแหน่งนายกฯภายหลังการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณเล่าถึงการหย่าร้างว่าเป็นเพราะคุณหญิงพจมานไม่ชอบการเมือง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสร้างทางธุรกิจจนร่ำรวย
คุณหญิงพจมานบอกว่าเราควรจะพักผ่อน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่าเขาควรทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อประเทศชาติ แต่คุณหญิงพจมานไม่เห็นด้วย ทว่าด้วยที่คุณหญิงพจมานมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ซึ่งคนมักบอกว่าคุณหญิงพจมานเป็นคนดูแลลูกน้องในบริษัท ดูแลผู้สนับสนุน ให้เงินพนักงาน ทุกคนให้ความเคารพ
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าว่าหลังจากถูกรัฐประหาร 19 ก.ย.49 คุณหญิงพจมานบอกว่าไม่เอาอีกแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งๆที่เราทำงานหนักเพื่อประเทศชาติ นี่หรือสิ่งที่ได้รับ และรู้สึกข่มขื่นเป็นอย่างมาก
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าอีกว่าครอบครัวได้ออกจากประเทศไปอยู่ด้วยกันช่วงหนึ่ง ต่อมาคุณหญิงพจมานอยากกลับเมืองไทย เนื่องจากคิดถึงเพื่อนและญาติ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่า เขาต้องการกลับมาเพื่อต่อสู้ทางการเมืองอีกครั้ง คุณหญิงพจมานบอกว่าเข้าใจและเห็นใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการต่อสู้ทางการเมือง แต่เธอไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก
พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าการจดทะเบียนหย่าเป็นความต้องการของคุณหญิงพจมาน
“คุณหญิงพจมานบอกว่า ปล่อยให้เธอกลับบ้าน ส่วนคุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ อย่าเอาเธอไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกกรณี”
การจดทะเบียนหย่าเกิดจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเราต้องดูแลลูก เรายังมีเพื่อนโดยจดทะเบียนหย่าขาดกันที่กงสุลไทยในฮ่องกงในเดือน พ.ย. 2551
เราต้องต่อสู้อีกมาก เธอพูดอีกครั้งว่า “ไม่ชอบการเมือง แต่เธอเข้าใจดีว่าถ้าผมไม่ต่อสู้ ผมจะไม่มีวันได้กลับบ้าน” คุณหญิงพจมานบอกว่า “ดังนั้นก็ควรจะให้ฉันอยู่คนเดียว”
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าว่า หลังจากจดทะเบียนหย่าก็ไม่ได้พบกันอีก เขารู้สึกเสียใจมาก แต่ได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์เพราะจะต้องให้คำปรึกษาในเรื่องลูก เรื่องทรัพย์สิน เรื่องคดีความที่ถูกกลั่นแกล้งซึ่งต้องปรึกษาหารือกันอย่างมาก
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดทรัพย์คิดเป็น 60% ของทรัพย์สินทั้งหมดหรือประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทรัพย์สินของครอบครัวส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย อยู่ในต่างประเทศประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปัจจุบันประมาณ 3 พันล้านบาท) และตอนนี้เขาลงทุนเหมืองแร่เป็นจำนวนมาก
พ.ต.ท.ทักษิณเล่าอีกว่าเขาแต่งงานกับคุณหญิงพจมานตั้งแต่ปี 2519 อยู่ด้วยกันเป็นเวลา 32 ปีก่อนจดทะเบียนหย่า และมีคุณหญิงพจมานเป็นภรรยาเพียงคนเดียว
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า คุณหญิงพจมานไม่ค่อยชอบออกงานสังคม (low profile woman) น้อยครั้งที่ทั้งคู่จะปรากฏตัวต่อสาธารณด้วยกัน เมื่อตอนเดินทางไปเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการประมาณ 60 ครั้ง คุณหญิงพจมานร่วมเดินทางไปด้วยเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะเนื้อหาที่กล่าวถึง พล.อ.เปรม เห็นได้ว่า นับตั้งแต่ก่อนถูกรัฐประหารจนถึงปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่า พล.อ.เปรมอยู่เบื้องหลังขบวนการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเขา สอดรับกับคำกล่าวอ้างของแกนนำกลุ่ม นปช.ที่มักจะอ้าง“อำมาตย์”ในการปลุกม็อบเมื่อคิดว่าสูญเสียประโยชน์หรือไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มและพวกของตนเอง ในการตัดสินคดีที่พรรคหรือคนของพรรคถูกกล่าวหา
แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวหยุดยั้งกฎหมายนิรโทษกรรมของประชาชนกลุ่มต่างๆก็ยังอ้างว่าอำมาตย์อยู่เบื้องหลัง
ยกเว้นคดีซุกหุ้นภาคแรกเพียงคดีเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดด้วยเสียง 8 ต่อ 7 เสียง (นักวิชาการทางด้านกฎหมายระบุว่าเป็นคำวินิจฉัยสีเทา)
(อ่านเนื้อหาส่วนนี้ประกอบ ในเรื่อง “อำมาตย์-ป๋า”เบื้องหลังหย่า“คุณหญิงอ้อ”ฉบับ“ทักษิณ” )
นี่คือ เนื้อหาสำคัญในหนังสือ Conversations with Thaksin ที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบ และนำมาเสนอก่อนหน้านี้
ส่วน เนื้อหาหนังสือส่วนใด ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดแล้วทำลายตัวเอง ในมุมมองของ ดร.สมเกียรติ คงต้องอดใจรอฟังข้อมูล บนเวทีปทุมวัน ในช่วงค่ำวันที่ 26 มกราคม นี้